บทที่ 8 ตอนที่ 3 สมรสพระราชทาน1
รสเสน่หากามารมณ์อันล้ำเลิศจากบุปผาอันดับหนึ่งคือสุดยอดแห่งปรารถนา
หยางเจี้ยนหรี่ตามองเจ้าของเนินอกอวบอิ่มที่พยายามเบียดชิดท่อนแขนแกร่งของตน
“ดื่มอีกจอกนะเจ้าคะ คุณชาย...”
“ถอยออกไป...”
น้ำเสียงกล่าวอย่างเย็นชา ดวงตาคู่คมมองอย่างเยือกเย็น แม่ทัพหนุ่มเพียงรับจอกเหล้ามาดื่มเท่านั้น ไม่คิดดับกระหายด้วยเรือนกายอิสตรีนางใด
สาวงามถึงกับหน้าเจื่อน
เมื่อสาวงามอันดับหนึ่งถูกไล่เช่นนั้น แม่นางทั้งหลายจึงถึงคราวได้ทีบ้าง รีบเข้ามาพะเน้าพะนอแทนที่
“คุณชาย ดื่มจอกของข้าดีกว่าเจ้าค่ะ”
ทั้งจอกเหล้าและกับแกล้มถูกสาวงามสองนางยื่นมาตรงหน้าอย่างเอาอกเอาใจ แต่หยางเจี้ยนขึงตาใส่
รัชทายาทหนุ่มมองอย่างหมั่นไส้ “จะหวงเนื้อหวงตัวไปถึงไหนเล่า?”
เพราะปลอมตัวเป็นเพียงคุณชายไร้บรรดาศักดิ์ กิริยาวาจาและท่าทีจึงมิจำเป็นต้องสูงส่งหรือมีสัมมาคารวะนอบน้อมอันใด
หยางเจี้ยนจึงเอ่ยเสียงหนักไปทางรัชทายาท
“ข้าไม่สะดวก”
“ไม่สะดวกหรือรังเกียจกันเล่า เอาเถิด คืนนี้แค่เลือกซื้อตัวสาวบริสุทธิ์สักคนก็ใช้ได้แล้ว พาไปเลี้ยงดูยังได้นะ”
คำของรัชทายาททำแม่นางสองคนที่นั่งจ้องมองอยู่พลันมีดวงตาที่ทอประกายวาววับ นึกหาญกล้าขึ้นมา
“ข้าน้อยเจ้าค่ะ ข้าน้อยผุดผ่องยิ่งนัก”
“ข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ ไม่เคยรับแขกคนใดเลย”
สาวงามอันดับหนึ่งมีหรือจะช้า นางรีบผลักสาวงามสองคนออกไปแล้วถลันเข้ามา
“ฮวาเอ๋อร์มอบชีวิตให้ท่าน”
ทว่าหยางเจี้ยนไม่ตอบรับแม้ครึ่งคำ ยังคงดื่มเหล้าอย่างเงียบงันเย็นชา ปล่อยความแสบร้อนของน้ำเมาไหลผ่านลำคออย่างช้าๆ ฤทธิ์ของมันทำเขาเคลิบเคลิ้มและคิดถึงแววตาชวนสนเท่ห์และเปี่ยมเสน่ห์มนต์มารอีกครั้ง
รัชทายาทจึงแค่นเสียงเฮอะก่อนหันไปสนใจสาวงามของตนโดยไม่สนใจสหายรักอีก
แค่ได้สมรสพระราชทานกับสตรีที่ไม่ได้รักจะทุกข์ใจอันใดนักหนาเล่า ตัวเขาต้องแต่งชายาเข้าวังบูรพามากมาย โดยไม่มีสตรีใดน่าพึงใจสักคนยังไม่บ่นสักคำ
หลังจากแยกย้ายจากรัชทายาท หยางเจี้ยนก็ควบม้ากลับเข้าจวนสกุลหยาง เมื่อกลับถึงห้อง เขาก็ล้มตัวลงนอน ในห้วงนิทรา เขาเห็นแต่ภาพเงาเลือนรางของสตรีนางหนึ่ง
นางผู้นี้ล่องลอยยั่วยวนชวนหวั่นไหวอยู่ในอากาศ ฝ่ามือหนาค่อยๆ เอื้อมคว้าสุดแขน หมายดึงนางเข้ามากอดเพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นทดแทนคมดาบเย็นเยียบที่สะบั้นคอนาง หัวใจของหยางเจี้ยนเต้นระส่ำรุนแรง โลหิตในกายพลุ่งพล่าน เขาจ้องนางไม่วางตา ด้วยเกรงว่านางจะหายไป
ภายใต้สีหน้าเย็นชา หัวใจบุรุษปวดร้าวเกินบรรยาย
โม่หมิงเยว่ลืมตาตื่นขึ้นมาในร่างใหม่ พร้อมความทรงจำที่ไม่เคยเลือนหาย ทุกเรื่องราวไม่ว่าของชาตินี้หรือชาติไหน นางจดจำได้แม่นยำ
ร่างระหงนอนทอดกายอ่อนล้าบนเตียงใหญ่ในห้องรโหฐานอย่างเดียวดาย
ไป๋หมิงเยว่ คือนามเดิม แต่แซ่สกุลใหม่
สวรรค์! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
อดีตหัวหน้าโจรถ่อยโม่หมิงเยว่ยามนี้ กำลังอยู่ในร่างของคุณหนูผู้อ่อนแอแห่งจวนไป๋
มิใช่ว่ามีผู้ใดบังอาจเล่นเล่ห์ร่ายมนต์คาถาคมขลังกับดวงวิญญาณของนางหรอกกระมัง?
บ้าไปแล้ว ใครจะทำเรื่องเยี่ยงนั้น!
ครั้นนึกขึ้นมาก็คล้ายได้ยินเสียงหนึ่งจากดินแดนแสนไกล
‘จิตวิญญาณเจ้าผสานหยดเลือดข้า ขอชาติหน้าได้ผูกวาสนา มิต้องเข่นฆ่าเฉกเช่นชาตินี้’
สองตาของหมิงเยว่เหลือกไปเหลือกมาเลิ่กลั่ก
แน่นอนว่าหญิงสาวยามนี้มืดมิดทั้งแปดด้าน นางไม่รู้เรื่องวิชานอกรีตนั้น และยิ่งไม่รู้ว่าใครกัน นางได้ยินแค่เสียงอันแผ่วเบาจากดินแดนแสนไกลที่ติดวิญญาณของนางมา
เจ้าผู้นั้นเป็นใครกัน? หลงรักข้าถึงเพียงนี้ ชั่วช้ายิ่ง!
ขณะกำลังตัดพ้อด่าทอ ความทรงจำค่อยๆ ไหลเวียนเข้ามาในห้วงภวังค์
หมิงเยว่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ได้สามวันหลังจากเจ้าของร่างเดิมตรอมตรมใจสลายจนสำลักโลหิตออกมาเป็นลิ่มๆ แล้วสลบแน่นิ่งไป
หญิงสาวค่อยๆ ระลึกถึงอดีตของร่างใหม่ที่ตนพลั้งพลัดหลงเข้ามาอาศัยโดยมิได้ไปเกิดใหม่อย่างใครเขา
ไป๋หมิงเยว่ผู้นี้เป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนขุนนางไป๋ บิดาหลงใหลภรรยารองจนภรรยาเอกตรอมใจตายไป มีน้องสาวคนหนึ่งก็ทำตัวน่าชังแย่งชิงคนรักอย่างเลือดเย็น ส่วนชายคนนั้นที่เป็นคนรักก็มักง่ายโลภมากและเห็นแก่ตัว คิดจะกุมหัวใจทั้งพี่ทั้งน้องในคราวเดียว
ไป๋หมิงเยว่เริ่มป่วยบ่อยอย่างปริศนา
ท้ายที่สุดก็ถูกสหายรักชักชวนล่อลวงให้ดื่มน้ำชา ไม่นานต่อมาพลันนอนหลับมิรู้ตื่น
ยามสะลึมสะลือนอนซมสิ้นสติ สาวใช้จิ่นซินไปเรียกให้คนช่วยก็ประจวบเหมาะกับบิดาไม่อยู่ แม่เลี้ยงไม่สนใจ น้องสาวหรือ? ยิ่งปิดประตูใส่หน้าไม่ไยดี
ไป๋หมิงเยว่จึงกลายเป็นผีได้ปล่อยวางแล้วไปเกิดใหม่ ทิ้งให้หมิงเยว่ต้องเข้ามาสวมรอยชดใช้กรรมแทนปะไร!
เฮอะ! ชดใช้กรรมรึ?
มีเพียงต้องเรียกคืนความยุติธรรมต่างหาก!
ทว่าแม้ใจคิดเช่นนั้น แต่จะทันกาลหรือไม่นั่นล่ะคือปัญหา เพราะยามนี้หมิงเยว่ถูกจับมาแต่งตัวราวตุ๊กตาหยกสวมผ้าสีชาดจนกลายร่างเป็นเจ้าสาวแล้วโดยสมบูรณ์
จวนแม่ทัพใหญ่โตโออ่าและกว้างขวาง ขนาดและอาณาเขตของมันบ่งบอกถึงอิทธิพลและอำนาจแห่งเจ้าของ รับรู้ได้ถึงความมีเกียรติมีศักดิ์ศรีเปี่ยมไปด้วยบารมีมากล้น ผู้คนที่มาร่วมงานจึงมีมากมายจากทั่วสารทิศ
แม้จะถูกผ้ามงคลปิดหน้าบดบังสายตาไปกว่าครึ่ง แต่หมิงเยว่ก็สัมผัสได้ถึงอำนาจน่าเกรงขามยามที่แขกเหรื่อโค้งกายนอบน้อมให้แก่เจ้าบ้าน
โดยเฉพาะยามที่เจ้าบ่าวข้างกายพานางเดินผ่านผู้คนเหล่านั้น ความยำเกรงพินอบพิเทาของเหล่าผู้คนยังแผ่ซ่านออกมาอย่างไร้ขีดจำกัด
เจ้าบ่าวหรือก็ตัวโตสูงใหญ่ กำจายกลิ่นอายอันน่าครั่นคร้ามกดทับผู้คนอย่างประหลาด เป็นอำนาจแห่งพลังการกดดันที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ชัดเจนว่ามีอย่างมหาศาล
พิธีการมงคลถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่พร้อมพรั่ง กระทั่งจบลงในห้องหออย่างเรียบง่ายเงียบสงบ ผิดแผกจากบรรยากาศครึกครื้นชื่นมื่นภายนอกอย่างสิ้นเชิง
