บทที่ 3 ฉันอยากมีผัวไทย

‘อะ! อย่า! อย่า...’

‘ผัวมึงมาแล้ว ให้มันเอามึงต่อล่ะกัน หึหึ..’

เธอไขว่คว้าร่างของมันเพราะแรงตอดรัดอย่างรุนแรงต้องการสิ่งมาเติมเต็ม แต่มันกลับกระโดดลงน้ำไปทางท้ายเรือปล่อยให้เธอลอยเคว้งทั้งที่กลิ่นคาวแข็งแกร่งนั้นยังคงคลุ้งไปทั่ว แต่เพราะเสียงผู้คนและแรงสะเทือนที่รู้ได้ว่ามีคนลงมาในเรือเธอจึงต้องรีบจัดแต่งเสื้อผ้าและทำเป็นนอนสลบไสลไม่รับรู้ราวกับโดนรมยา

"บัญชีของเตี่ยฉันทำเสร็จแล้ว แม่ไม่ต้องห่วงหรอก และทีหลังอย่าเรียกฉันแบบนี้อีก แม่ก็รู้ว่าฉันไม่ชอบ"

เสียงหวานแต่ไม่สบอารมณ์ของเหมยกุ้ยทำลายภวังค์อันเพริศแพร้วของเธอ เหมยฮัวส่ายใบหน้าไปมา สงสารทั้งลูกและสงสารทั้งตัวเอง เหมยกุ้ยเก่งทั้งงานบ้านงานเรือนตามที่เธออบรมสั่งสอนและทั้งยังพูดอ่านเขียนภาษาไทยได้เป็นอย่างดีแม้ไม่ได้ไปเรียนหนังสือเหมือนลูกคนอื่นเขาเพราะได้คุณนายเถ้าแก่โรงสีสอนสั่งเมื่อครั้งเป็นเด็กหญิง

เหมยกุ้ยจึงไม่ต้องพูดไทยสำเนียงจีนอย่างเธอกับเฮียย้ง อีกทั้งเหมยกุ้ยยังสามารถคิดราคาสินค้าและจัดทำบัญชีได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่เหมยกุ้ยไม่ชอบชีวิตแบบนี้ ก็ใครล่ะจะชอบเธอเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน ทางใดที่จะผลักดันให้ลูกไปให้พ้นจากในเรือเธอจะทำ เพราะอยู่อย่างนี้ก็ไม่ต่างจากดวงไฟที่ลอยน้ำ ร้อนรนร้อนแรงแต่ออกไปไม่ได้เพราะกลัวว่าจะดับเสียก่อนถึงฝั่ง

"กุหลาบ... ฟังแม่นะ" น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยเรียกลูกสาวเพียงคนเดียว

เหมยกุ้ยหรือกุหลาบตามที่เธออยากให้แม่เรียกมีสีหน้าที่ดีขึ้นเพราะไม่อยากให้แม่เรียกเธอด้วยชื่อจีน เธออยากเป็นคนไทย อยากมีบ้านอยู่บนฝั่ง เหนืออื่นใดอยากไปให้พ้นจากจุดนี้

"ปีนี้กุหลาบก็ถึงเวลาจะมีเหย้ามีเรือนเสียที เตี่ยกับแม่จะหาผู้ชายดีๆ ให้กุหลาบได้แต่งงาน กุหลาบจะได้ไปใช้ชีวิตบนฝั่ง ดีไหมลูก"

"ฉันมีผัวได้แล้วหรือจ๊ะแม่" น้ำเสียงตื่นเต้นเริงร่าตามใบหน้าที่แย้มยิ้มงดงามไม่ต่างจากดวงจันทร์วันเพ็ญ แม้คืนนี้จะเป็นคืนเดือนมืดก็ตาม

"ใช่น่ะสิ แม่อยากให้กุหลาบมีความสุข" เหมยฮัวอ้าแขนโอบรัดร่างอวบอิ่มของลูกสาวที่ถลาเข้ามาหา

"แต่แม่จ้ะ" เหมยกุ้ยผละออกจากอ้อมกอดของแม่ บางสิ่งที่เธอไม่ต้องการแม่ควรจะต้องรู้ไว้

"อะไรเหรอลูก"

"ฉันไม่อยากมีผัวจีนผัวเจ๊ก ฉันอยากมีผัวเป็นคนไทย แม่ช่วยบอกเตี่ยที นะแม่นะ อย่าให้ฉันต้อง..."

เธอนึกอยากบอกว่า ‘เหมือนแม่’ ที่ต้องทำตามคำสั่งของเตี่ยทุกอย่าง ต้องแบกรับคำด่าทอกับวัฒนธรรมเมื่อแม่ไม่สามารถมีลูกชายสืบสกุล เพราะเธอเห็นตัวอย่างมากมายจากสองฟากฝั่งร้านตลาด ลูกสาวคนไทยถูกดูแลและเอาอกเอาใจประหนึ่งไข่ในหิน แม้จะไม่ได้เที่ยวท่องเหมือนลูกชายแต่เธอก็ยังมีเครื่องประทินผิวพร้อมเสื้อผ้าข้าวของตกแต่งอย่างมากมายก่ายกอง อย่างที่เธอไม่เคยมีเลยนอกจากชุดกี่เพ้าไม่กี่ชุดที่เตี่ยให้เงินไปซื้อผ้ามาตัดใส่เอง เธอจึงไม่อยากมีชะตากรรมเหมือนแม่อีกคน

"แม่จะบอกเตี่ยให้ ป่านนี้แล้วเตี่ยยังไม่มาสงสัยว่าจะค่ำแน่ แล้วอย่านั่งนานนักล่ะยุงมันจะหามไปเสียก่อน อาบน้ำอาบท่าได้แล้วมั้ง มืดอย่างนี้คงไม่มีใครผ่านแล้วล่ะ"

"จ้ะแม่" รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าพร้อมรับคำก่อนใบหน้าสวยหวานจะหันมองที่สุดขอบฟ้า เส้นแสงสีส้มที่เห็นเพียงนิดทำให้ทั่วทั้งบริเวณมืดดำทะมึนแต่ก็เริ่มมีแสงไฟจากตะเกียงริบหรี่อยู่หลายครัวเรือน รวมทั้งแสงไฟฟ้าจากเครื่องปั่นไฟที่ดั่งหึ่งมาจากปั๊มน้ำมันปากทางคุ้งน้ำ

ในย่านตลาดแห่งนี้ที่เตี่ยกับแม่พาเธอมาจอดพักเรืออยู่ใต้สะพานได้หลายสัปดาห์แล้วมากมายไปด้วยสิ่งน่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งเรือน้ำแข็งกั๊กที่เธอสามารถเทียบเรือสั่งซื้อก่อนที่คนงานวัยฉกรรจ์จะปาดแกลบเปียกที่ปกคลุมลำเรือออกเพียงส่วนหนึ่งเจาะกะเทาะน้ำแข็งหนึ่งมือตามที่เธอต้องการเอาลงไปล้างคราบแกลบในคลองก่อนจะเอามาส่ง ซึ่งเตี่ยบอกว่าด้านท้ายเรือในครัวยังมีพื้นที่เหลือว่าจะต่อเป็นคอกพร้อมสั่งน้ำแข็งสักสิบกั๊กเอาแกลบหมักไม่ให้ละลายเพื่อเอาไปขายในย่านต่อไปในสัปดาห์หน้าด้วย

หรือจะในร้านขายยาฝั่งตรงกันข้ามที่ตกแต่งร้านด้วยหินอ่อนขัดมันพร้อมห้อยพัดลมเพดานสีงาช้างที่เธออยากไปยืนซึมซับเอาความเย็นฉ่ำเฉพาะตรงจุดนั้นเมื่อครั้งแม่พาไปเจียดยามาต้มเร่งฤดูให้มาเป็นปกติ สองฝั่งซ้ายขวาของร้านเต็มไปด้วยลิ้นชักเครื่องยาไทยยาจีนและยาแผนปัจจุบันพร้อมสรรพ และในยามเย็นหากลมพัดมาทางนี้ก็จะได้กลิ่นเครื่องปรุงยาลอยลมหอมมาเป็นระยะๆ

ถัดไปโน่นก็ร้านทองที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเธอ และได้มีโอกาสเข้าไปครั้งแรกก็ตอนที่โจรมาปล้นเรือแล้วแม่ต้องเอาทองที่เก็บซุกไว้ใต้กระดานเรือมาขายทำทุน คราแรกเตี่ยว่าจะพักเรือที่ตลาดแห่งนี้เพียงสองสัปดาห์จึงต้องเลื่อนออกไปเพราะทุนยังไม่พอและต้องซื้อหาข้าวของที่จะขายเพิ่มเติมให้เต็มลำเรือก่อนที่จะล่องขึ้นไปปากแม่น้ำเพื่อไปนำสิ่งของเครื่องใช้จากทางโน้นล่องกลับมาขายทางนี้ และนี่ก็เป็นสาเหตุทำให้กว่าสัปดาห์แล้วที่เตี่ยกลับมาค่ำทุกวันเพราะต้องไปสรรหาข้าวของมาเพื่อลงเรือ เมื่อเตี่ยรู้ว่าแม่ซุกทองไว้ก็แทบจะตีแม่ตายเสียให้ได้แต่คงนึกรู้ว่าถ้าไม่มีทองเหล่านี้ก็คงจะหมดทุนก็เลยยั้งมือไว้ได้

บทก่อนหน้า
บทถัดไป