บทที่ 4

สวี่จือย่างไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับพวกเขานานกว่านี้ เธอเห็นเพื่อนบ้านกำลังชะโงกหน้าชะโงกคอมาดูเรื่องสนุก ที่นี่คือคฤหาสน์ของตระกูลฮั่ว เธอไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายจนน่าเกลียด จึงเปิดประตูนิรภัยที่หนักอึ้งออก

สวี่จือย่างไม่ได้แม้แต่จะชายตามองพวกเขา เธอหันหลังเดินตรงไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างไม่คิดจะไว้หน้าแม้แต่น้อย

ป้าหลิวเองก็ขวางหูขวางตาสองสามีภรรยาคู่นี้เช่นกัน อย่าว่าแต่น้ำชาเลย แม้แต่น้ำเปล่าสักแก้วก็ไม่มีเสิร์ฟให้ เธอยืนปักหลักอยู่ข้างกายสวี่จือย่างราวกับทหารองครักษ์ คอยป้องกันไม่ให้ชายโฉดหญิงชั่วคู่นี้ทำร้ายคุณผู้หญิงได้

แม้ฉินเย่เฉิงและเฉียวนาหลานจะถูกป้าหลิวทำให้เสียหน้า แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ทั้งสองนั่งแหมะลงบนโซฟาอย่างไม่เกรงใจ สายตาสองคู่กวาดมองไปทั่วคฤหาสน์อย่างไม่สำรวม พร้อมกับประเมินราคาของตกแต่งเหล่านี้ในใจเงียบๆ

สมแล้วที่เป็นตระกูลฮั่ว ตระกูลเก่าแก่ที่มีรากฐานมั่นคง ช่างแตกต่างจากพวกเศรษฐีใหม่อย่างพวกเขาเสียจริง ของตกแต่งที่ดูธรรมดาชิ้นหนึ่ง อาจมีค่าเท่ากับบ้านหลังหนึ่งข้างนอกนั่นเลยก็ได้

ความละโมบฉายชัดออกมาทางแววตาอย่างไม่คิดจะปิดบัง

“ตอนนี้พูดได้หรือยังคะ?” สวี่จือย่างถามอย่างอารมณ์เสีย

ฉินเย่เฉิงและเฉียวนาหลานไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ชำเลืองมองป้าหลิวไม่หยุด เป็นเชิงส่งสัญญาณให้ป้าหลิวรู้ตัวและออกไปเสีย อย่าอยู่ฟังพวกเขาคุยกัน

ในบ้านหลังนี้ ป้าหลิวฟังคำสั่งของฮั่วถิงเซินและสวี่จือย่างเท่านั้น ถ้าคนคู่นี้เป็นพ่อแม่ที่รักสวี่จือย่างจริงๆ ป้าหลิวก็พร้อมจะต้อนรับด้วยความจริงใจ แต่ดูจากท่าทางแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี ป้าหลิวจึงไม่ยอมทิ้งให้คุณผู้หญิงต้องเผชิญหน้ากับหมาป่าสองตัวนี้ตามลำพังแน่นอน

ดังนั้นเมื่อสวี่จือย่างยังไม่เอ่ยปาก ป้าหลิวก็ไม่ขยับไปไหน ทำราวกับว่าไม่เข้าใจสายตาของพวกเขาเลย

สวี่จือย่างก้มหน้ายิ้มเล็กน้อย ความอบอุ่นจากการถูกปกป้องที่เธอไม่เคยได้รับจากพ่อของตัวเอง กลับมาสัมผัสได้จากแม่บ้านของเธอเอง

“ป้าหลิวคะ ป้าไปทำงานก่อนเถอะค่ะ ฉันจัดการเองได้” สวี่จือย่างยิ้มอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มของเธอราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านใบหน้า ทำเอาป้าหลิวถึงกับมองตะลึงไปชั่วขณะ เธอยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ ลูกสาวดีๆ แบบนี้ อยู่บ้านไหนเขาก็ต้องประคบประหงมเอาใจใส่ ทำไมคนสองคนนี้ถึงได้ตาไม่ถึงขนาดนี้กันนะ?

หลังจากป้าหลิวจากไป ทั้งสามคนที่เหลืออยู่บนโซฟาก็ไม่จำเป็นต้องฝืนยิ้มอีกต่อไป ต่างคนต่างเปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นชาในทันที

“เอากำไลมาให้ฉัน” สวี่จือย่างพูดเข้าประเด็นทันที

“ย่างย่าง อย่าเพิ่งใจร้อนสิลูก ป้าเอากำไลมาให้หนูแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รออีกหน่อยนะ”

สวี่จือย่างลากเสียง “โอ้” ยาวๆ รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาไม่ได้ใจดีขนาดนั้น

“ว่ามาเลยค่ะ มีเงื่อนไขอะไร?”

“ก็ไม่ใช่เงื่อนไขอะไรหรอก จริงๆ แล้วป้าก็ทำเพื่อหนูนะ...” เมื่อเห็นว่าเฉียวนาหลานกำลังจะพล่ามยืดยาว สวี่จือย่างก็รีบยกมือทำท่าให้หยุด

“ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง เข้าเรื่องเลย”

“นี่มันทัศนคติอะไรกัน นี่แม่เลี้ยงของแกนะ ไม่เรียกแม่ก็แล้วไป ยังจะมาพูดจาแบบนี้อีก ไม่มีใครสั่งสอนหรือไง?” ฉินเย่เฉิงเริ่มเห่าหอนอีกครั้ง

“ก็ใช่น่ะสิคะ ฉันมันไร้การอบรมสั่งสอน เป็นแค่ลูกไม่มีพ่อที่แม่ให้กำเนิดมาเท่านั้น”

ฉินเย่เฉิงไม่คิดว่าพอสวี่จือย่างจะใจเด็ดขึ้นมา ถึงกับด่าตัวเองได้ลงคอ เขาถึงกับพูดอะไรต่อไม่ถูกไปชั่วขณะ

เมื่อเห็นว่าสวี่จือย่างใช้ทั้งไม้แข็งไม้อ่อนไม่ได้ผล เฉียวนาหลานก็ขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงกับเธออีกต่อไป จึงเปิดเผยความตั้งใจที่แท้จริงออกมาตรงๆ

“แกหย่ากับฮั่วถิงเซินซะ แล้วคืนตำแหน่งคุณนายน้อยตระกูลฮั่วให้น้องสาวแก แล้วฉันจะเอากำไลนี่ให้แก”

ประโยคเดียว แต่มีเรื่องให้ด่าเยอะเกินไปจนสวี่จือย่างไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อนดี

“กำไลนี่เป็นของแม่ฉันตั้งแต่แรกแล้ว การที่คุณเอามันมาคืนฉัน เขาเรียกว่า ‘คืนของให้เจ้าของ’ ไม่ใช่ ‘การให้’! คุณเอาสิทธิ์อะไรมาใช้ของของแม่ฉันสร้างบุญคุณ? คุณเป็นตัวอะไรกันแน่หา?”

ฉินเย่เฉิงและเฉียวนาหลานคิดว่าแค่มีกำไลอยู่ในมือ เรื่องนี้ก็สำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว ไม่คิดว่าสวี่จือย่างในตอนนี้จะแข็งกร้าวได้ถึงเพียงนี้

ในความทรงจำของเขา สวี่จือย่างยังคงเป็นแค่เด็กมัธยมต้นที่ยอมก้มหน้ารับความอัปยศอดสูโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ

“โอเคๆ ขอโทษนะ ย่างย่าง ป้าพูดผิดไปเอง” เฉียวนาหลานพูดใหม่อีกครั้ง “แค่หนูคืนตำแหน่งคุณนายน้อยตระกูลฮั่วให้น้องสาวหนู แล้วป้าจะคืนกำไลนี่ให้ ดีไหม?”

สวี่จือย่างยิ้มอย่างเย็นชา

“น่าสนใจจริงๆ นะคะ คำว่าคืนตำแหน่งคุณนายน้อยตระกูลฮั่วให้ฉินเจินเจินหมายความว่ายังไง? หรือว่าตำแหน่งนี้เคยเป็นของเธอมาก่อนเหรอคะ? ทำไมฉันไม่เคยได้ยินเลยว่าน้องสาวสุดที่รักของฉันเคยแต่งงานมาก่อน? ที่แท้ก็แต่งงานเป็นรอบที่สองแล้วนี่เอง”

“แก อย่ามาปล่อยข่าวลือมั่วๆ เกี่ยวกับน้องสาวฉันนะ เธอยังไม่เคยมีแฟนเลยด้วยซ้ำ จะมาแต่งงานรอบสองรอบแรกอะไรกัน”

เฉียวนาหลานร้อนใจขึ้นมา เธอยังอยากให้ฉินเจินเจินได้แต่งงานเข้าตระกูลฮั่ว จะปล่อยให้อีนังสารเลวนี่มาทำลายชื่อเสียงของฉินเจินเจินไม่ได้เด็ดขาด

สวี่จือย่างรีบทำท่าสำนึกผิดทันที

“ขอโทษค่ะ ขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว ไม่ใช่แต่งงานรอบสอง แต่เป็นเมียน้อยชาวบ้านเขาต่างหาก”

ในชีวิตนี้เฉียวนาหลานเกลียดที่สุดเวลาที่มีคนว่าเธอเป็นเมียน้อย เพราะมันคือเรื่องจริง

“คุณป้าคะ ฉันพูดถึงฉินเจินเจิน ไม่ได้พูดถึงคุณสักหน่อย คุณจะร้อนตัวทำไมคะ?”

“ว่าลูกสาวฉันก็ไม่ได้!”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ? หรือเพราะว่าคุณร้อนตัว?”

“สวี่จือย่าง! เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว! ฉันจะถามแกคำเดียว ตกลงแกจะหย่ากับฮั่วถิงเซินหรือไม่หย่า?”

“ได้สิ” สวี่จือย่างตอบตกลงอย่างง่ายดาย ทำเอาฉินเย่เฉิงและเฉียวนาหลานถึงกับอ้าปากค้าง พวกเขาไม่คิดว่าสวี่จือย่างจะยอมตกลงง่ายขนาดนี้

สวี่จือย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ในเมื่อฮั่วถิงเซินก็ขอหย่ากับเธอแล้ว ยังไงก็ต้องหย่าอยู่ดี สู้รีดไถของจากฉินเย่เฉิงและเฉียวนาหลานมาให้ได้มากที่สุดจะดีกว่า

“ฉันตกลงหย่า แล้วพวกคุณจะชดเชยอะไรให้ฉันล่ะ?”

ฉินเย่เฉิงเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้มในทันที

“ก็ไหนว่าจะให้กำไลแล้วไง?”

“แค่กำไลอันเดียวจะมาแลกกับตำแหน่งคุณนายน้อยตระกูลฮั่วเนี่ยนะ ตำแหน่งนี้มันไร้ค่าขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

“แล้วแกอยากได้อะไร?” ฉินเย่เฉิงกัดฟันถาม เพราะเขาก็รู้สึกว่าการใช้แค่กำไลอันเดียวมาบีบให้สวี่จือย่างหย่า มันเป็นการค้าที่ขาดทุนเกินไป คงไม่มีใครยอมทำแน่

“ฉันต้องการคฤหาสน์ริมทะเลสาบตงหู”

“อะไรนะ? ไม่ได้! คฤหาสน์หลังนั้นโอนเป็นชื่อของเจินเจินแล้ว ให้แกไม่ได้เด็ดขาด! นั่นมันเป็นทรัพย์สินของเจินเจิน!”

“ทรัพย์สินของฉินเจินเจิน? แน่ใจหรือคะ? นั่นมันบ้านของแม่ฉันชัดๆ คุณเอาไปยกให้เธอได้ยังไง?”

คฤหาสน์ตงหูตกมาอยู่ในมือนานเกินไป จนแม้แต่เฉียวนาหลานเองก็ลืมไปแล้วว่านี่เคยเป็นทรัพย์สินของแม่สวี่จือย่างมาก่อน พอสวี่จือย่างพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน เธอถึงได้มีท่าทีร้อนรนขนาดนี้ แต่คฤหาสน์หลังนั้นมีมูลค่าสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นฉินเย่เฉิงหรือเฉียวนาหลาน ก็ไม่มีทางยอมคืนให้สวี่จือย่างเด็ดขาด

“ถ้าไม่ยอมก็แล้วไป ฉันก็ไม่ได้อยากจะหย่าขนาดนั้น ตราบใดที่ฉันยังเป็นคุณนายน้อยแห่งตระกูลฮั่วอยู่ แค่คฤหาสน์ริมทะเลสาบตงหูหลังเดียว อยากได้เมื่อไหร่ฉันก็ซื้อได้”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป