บทที่ 5
ในตอนนั้น ฉินเย่เฉิงดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาข่มขู่สวี่จือย่างว่า “ตอนที่คุณย่าพาลูกไป ลูกยังถือหุ้น 10% อยู่ในมือนะ หลายปีมานี้ ลูกคงใช้เงินปันผลพวกนั้นไปหมดแล้วสินะ? พ่อไม่ทวงเงินพวกนั้นคืนก็บุญแค่ไหนแล้ว ลูกยังจะกล้ามาขอคฤหาสน์จากพ่ออีกเหรอ?”
คนเราเมื่อโกรธถึงขีดสุดก็จะหัวเราะออกมา
สวี่จือย่างก็หัวเราะออกมาเช่นกัน “ฉินเย่เฉิง! คุณยังเหลือยางอายอยู่บ้างไหม? จำได้ไหมว่าเงินทุนที่คุณใช้ก่อร่างสร้างตัวในตอนนั้นใครเป็นคนให้? แม่ของฉันไงล่ะ! แล้วคุณล่ะ? เอาเงินพวกนั้นไปทำอะไร? คุณเอาไปเลี้ยงเมียน้อยกับลูกนอกสมรสของเธอ! ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกคุณมีอยู่ตอนนี้ล้วนมาจากแม่ของฉันทั้งนั้น คุณเอาหน้าไหนมาทวงเงินจากฉัน?”
สวี่จือย่างตอกหน้าเฉียวนาหลันด้วยเรื่องเมียน้อยอีกครั้ง คราวนี้เฉียวนาหลันถึงกับเก็บรอยยิ้มเสแสร้งไว้ไม่อยู่
“สวี่จือย่าง เธอคิดว่าแม่ของเธอเป็นนางฟ้ามาจากไหนรึไง? เย่เฉิงทำงานหาเงินอย่างหนักอยู่ข้างนอก ส่วนแม่เธอก็ทำได้แค่ทำกับข้าว ถูพื้น เช็ดโต๊ะอยู่บ้าน มันก็แค่งานบ้านไม่ใช่เหรอ? เรื่องแค่นี้ใครจะทำไม่ได้? ฉันจ้างแม่บ้าน 5,000 หยวน ก็ทำเรื่องพวกนี้ได้หมด แถมยังทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ!”
“แล้วยังไงล่ะ?” ภายใต้ท่าทีที่สงบนิ่งของสวี่จือย่างซ่อนความโกรธเกรี้ยวที่พลุ่งพล่านเอาไว้ “คุณก็เลยจ้างคนวางแผนจัดฉากอุบัติเหตุทางรถยนต์เพื่อฆ่าแม่ของฉัน ใช่ไหม?”
เฉียวนาหลันตื่นตระหนกทันที
“อย่าพูดจาเหลวไหลนะ ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น เป็นเพราะโชคชะตาของนางไม่ดีเอง ตายเร็ว จะมาเกี่ยวอะไรกับฉัน?”
“เฉียวนาหลัน คุณจำไว้ให้ดี” สวี่จือย่างลุกพรวดขึ้น มองฉินเย่เฉิงและเฉียวนาหลันด้วยสายตาที่เหนือกว่า “เรื่องอุบัติเหตุของแม่ฉัน ไม่ช้าก็เร็วฉันจะสืบให้รู้ความจริงให้ได้ทั้งหมด”
“นั่นแม่แกนะ แกกล้าดียังไงมาพูดถึงแม่แบบนี้ ฉันขอเตือนแกไว้เลยนะ ถ้าฉันได้ยินแกพูดจาดูหมิ่นแม่แกอีก ฉันจะไม่เกรงใจแกแน่!” ฉินเย่เฉิงก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน
“ไม่เกรงใจก็ดีสิคะ ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าคุณจะไม่เกรงใจยังไง?” สวี่จือย่างไม่ยอมถอย จ้องตาฉินเย่เฉิงด้วยแววตาดูแคลนจนแทบจะแผดเผาเขา เธอพูดชัดถ้อยชัดคำทีละคำว่า “เมียน้อยไม่มีวันตายดีหรอก”
ราวกับกลัวว่าฉินเย่เฉิงจะยังโกรธไม่พอ เธอก็พูดเสริมขึ้นมาอีกประโยค
“เมียของคุณก็เหมือนกับลูกสาวสุดที่รักของคุณนั่นแหละ เป็นเมียน้อยเหมือนกัน! ไสหัวไปให้พ้น! ไปให้หมดทั้งคู่!”
พูดจบ สวี่จือย่างก็คว้าแก้วน้ำข้างตัวขว้างไปที่เท้าของฉินเย่เฉิง แก้วแตกกระจายในทันที เสียงแก้วแตกที่ดังลั่นสะท้อนก้องอยู่ในห้อง ราวกับอารมณ์ที่สวี่จือย่างเก็บกดมานานได้ระเบิดออกมาในที่สุดแล้ว
ในวินาทีนั้น ฉินเย่เฉิงก็เหมือนกับสัตว์ป่าที่ถูกยั่วให้โกรธ ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธ เขาผลักสวี่จือย่างล้มลงกับพื้นอย่างไม่ปรานี ร่างของสวี่จือย่างกระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรง ความเจ็บปวดถาโถมเข้ามาในทันที
“แกกล้าดียังไงมาพูดกับฉันแบบนี้” เสียงของฉินเย่เฉิงเต็มไปด้วยการคุกคาม ฝ่ามือฟาดลงมาอย่างแรงบนแก้มของสวี่จือย่าง ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้สวี่จือย่างรู้สึกเหมือนฟ้าดินหมุนคว้าง ในหูมีเสียงดังอื้ออึง “ฉันเลี้ยงแกมา 13 ปี ไม่รู้จักบุญคุณ ยังจะกล้ามาด่าฉันอีก แกมันนังสารเลวไม่รู้จักบุญคุณ เหมือนแม่ของแกไม่มีผิด! นังแพศยา!”
เขาคำรามลั่น กำปั้นเหวี่ยงลงมาอีกครั้งอย่างไม่ปรานี
สวี่จือย่างพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ก็ไร้ผล
พละกำลังของฉินเย่เฉิงนั้นหนักอึ้งราวกับภูเขาทั้งลูกที่กดทับเธอไว้ ทำให้เธอไม่สามารถต่อต้านได้
เศษแก้วที่แตกกระจายเกลื่อนพื้น ปลายแหลมคมของมันสะท้อนแสงวาววับ มือของสวี่จือย่างบังเอิญไปโดนเศษแก้วเหล่านั้น เลือดสดๆ ไหลออกมาจากนิ้วของเธอ ย้อมพื้นจนเป็นสีแดง
“ฉันเป็นคุณนายน้อยแห่งตระกูลฮั่วนะ คุณกล้าตีฉันเหรอ?” แม้ว่าสวี่จือย่างจะได้ทำสัญญาหย่ากับฮั่วถิ๋งเซินแล้ว แต่คนอื่นยังไม่รู้เรื่องนี้ เธอตะโกนชื่อของฮั่วถิ๋งเซินออกมาพร้อมกับดูถูกตัวเองในใจ
ในวินาทีที่ได้ยินชื่อของฮั่วถิ๋งเซิน มือของฉินเย่เฉิงก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แต่แล้วหมัดของเขาก็ฟาดลงบนใบหน้าของสวี่จือย่างอีกครั้ง
“แล้วคุณนายน้อยตระกูลฮั่วแล้วจะทำไม? ก็ไม่ได้มีแค่แกคนเดียวนี่ ตำแหน่งนี้ของแกอีกไม่นานก็รักษาไว้ไม่ได้แล้ว ฉันจะบอกอะไรให้ ทางที่ดีแกรีบหย่าซะ แล้วรีบหลีกทางให้น้องสาวแก ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าแกจะไม่มีโชคดีแบบนี้อีก รอน้องสาวแกได้เป็นคุณนายน้อยตระกูลฮั่วเมื่อไหร่ คอยดูแล้วกันว่าฉันจะจัดการแกยังไง?”
เสียงการทุบตีอย่างฝ่ายเดียวของฉินเย่เฉิงดังลอดออกมาจนประตูห้องก็ไม่อาจกั้นได้ เมื่อป้าหลิวเข้ามาในห้องและพบว่าสวี่จือย่างกำลังถูกทุบตีจนพื้นชุ่มโชกไปด้วยเลือดแล้ว เธอรีบวิ่งออกจากห้องด้วยความโกรธและร้อนใจ พุ่งเข้าไปหาฉินเย่เฉิงและเฉียวนาหลันอย่างไม่ลังเล
“หยุดนะ!” ป้าหลิวพุ่งเข้าไปอยู่ตรงหน้าฉินเย่เฉิง และขวางหมัดที่กำลังจะเหวี่ยงลงมาของเขาไว้โดยไม่ลังเล “คุณยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า? ทำไมถึงทำกับลูกสาวตัวเองแบบนี้ได้?”
ป้าหลิวทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เธอไม่เคยเห็นพ่อที่ไร้ยางอายและเลวทรามเช่นนี้มาก่อน
“นี่ไม่ใช่เรื่องของแก” ฉินเย่เฉิงตอบกลับอย่างเย็นชา พยายามผลักป้าหลิวออกเพื่อจะทำร้ายสวี่จือย่างต่ออีก
“นี่เป็นเรื่องของฉันแน่นอน” ในที่สุดป้าหลิวก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหลายปีมานี้ คุณหญิงถึงไม่เคยติดต่อพ่อแม่ของเธอเลย และพ่อแม่ของเธอก็ไม่เคยปรากฏตัวให้เห็น ความสัมพันธ์ของพวกเขาช่างเป็นแบบที่ต้องตายกันไปข้างหนึ่งจริงๆ
ป้าหลิวยืนหยัดอยู่ข้างกายสวี่จือย่างอย่างมั่นคง เธอประคองร่างที่บอบช้ำของสวี่จือย่างไว้ พร้อมกับใช้ไพ่ตายอย่างตระกูลฮั่วออกมา
“เธอไม่ใช่แค่ลูกสาวของคุณ แต่ยังเป็นคุณนายน้อยแห่งตระกูลฮั่ว ถ้าพวกคุณยังไม่อยากหายไปจากโลกนี้ ก็ออกไปจากที่นี่ซะ คุณก็รู้ว่าตระกูลฮั่วมีปัญญาทำได้ พวกคุณสองคน ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!” ป้าหลิวเป็นดั่งภูผาที่ไม่อาจสั่นคลอน ขวางอยู่เบื้องหน้าสวี่จือย่างเพื่อปกป้องความปลอดภัยของเธอ
สีหน้าของฉินเย่เฉิงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม แต่เมื่อเผชิญหน้ากับป้าหลิว เขากลับทำอะไรไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ป้าหลิวพูดก็เป็นความจริง ถึงแม้สวี่จือย่างจะไม่เป็นที่โปรดปรานของฮั่วถิ๋งเซิน แต่เธอก็ยังเป็นคุณนายน้อยที่ถูกต้องตามธรรมเนียมของตระกูลฮั่ว
ตระกูลฮั่วคงไม่นิ่งดูดายปล่อยให้หลานสะใภ้ของตัวเองต้องบาดเจ็บ
เขาหันหลังกลับอย่างจนใจ พร้อมกับตะโกนลั่นว่า “แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
ฉินเย่เฉิงและเฉียวนาหลันจากไปอย่างหัวเสีย ส่วนป้าหลิวก็ย่อตัวลงดูอาการบาดเจ็บของสวี่จือย่างด้วยความเป็นห่วง ในใจของเธอเต็มไปด้วยความสงสารจนน้ำตาคลอเบ้า แต่ก็พยายามกลั้นไว้ไม่ให้ไหลออกมา
“คุณหญิง ไม่เป็นไรแล้วนะคะ ดิฉันอยอยู่นี่แล้ว” ป้าหลิวปลอบโยนด้วยเสียงแผ่วเบา มืออันอบอุ่นของเธอลูบไล้เส้นผมของสวี่จือย่างเบาๆ “เดี๋ยวจะพาไปหาหมอเดี๋ยวนี้เลยนะคะ”
สวี่จือย่างไม่คิดว่าฉินเย่เฉิงจะลงมือกับเธออย่างโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ เขาไม่นึกถึงความสัมพันธ์พ่อลูกของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่า เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ฉินเย่เฉิงไล่สวี่จือย่างกับคุณย่าออกจากบ้าน เธอก็รู้แล้วว่า ในชีวิตนี้เธอไม่มีพ่อแม่อีกต่อไปแล้ว
สวี่จือย่างมองดูแขนของตัวเอง มีรอยขีดข่วนอยู่บ้าง แต่บาดแผลไม่ได้ลึกนัก เพียงแต่ดูรุนแรงเท่านั้น
บาดแผลเล็กน้อยเหล่านี้จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล เพียงแต่ตอนนี้เธอรู้สึกว่าในหัวของเธอดังอื้ออึง และในท้องก็รู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียนอย่างรุนแรง เธอไม่แน่ใจว่านี่เป็นอาการของสมองกระทบกระเทือนหรือไม่ ดังนั้นการไปโรงพยาบาลจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า
ป้าหลิวโทรเรียกรถพยาบาลให้สวี่จือย่าง ในไม่ช้า รถพยาบาลก็มาถึง ป้าหลิวอยากจะไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนสวี่จือย่าง แต่กลับถูกเธอปฏิเสธ











































































































































































































































































































































































































































































































































































