บทที่ 6
“คุณหญิงคะ คุณบาดเจ็บหนักขนาดนี้ ฉันจะปล่อยให้คุณไปโรงพยาบาลคนเดียวได้อย่างไรคะ"
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่แผลเผิน ๆ เท่านั้นเอง แล้วก็ ป้าหลิวคะ...” สวี่จือย่างวางเอกสารหย่าที่เซ็นชื่อแล้วลงในมือของป้าหลิว “ฉันหย่ากับฮั่วถิงเซินแล้วค่ะ คุณไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณหญิงแล้วนะคะ ฉันไม่ใช่ลูกสะใภ้ของบ้านฮั่วแล้ว เมื่อกี้ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉันไว้ แต่บ้านหลังนี้คงไม่มีที่สำหรับฉันแล้ว ฉันควรจะไปแล้วค่ะ”
“คุณหญิง แล้วคุณจะไปไหนได้ล่ะคะ” คำพูดที่ป้าหลิวเผลอปากออกมานั้น กลับไปกระทบจิตใจของสวี่จือย่างเข้าให้
นั่นสิ เธอจะไปไหนได้กันนะ
ดูเหมือนว่านอกจากบ้านตระกูลฮั่วแล้ว เธอก็ไม่มีที่ไปเลย
แต่เธอก็ยังปลอบป้าหลิวว่า: “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะไปไหนไม่ได้กันคะ? อีกอย่าง ไม่แน่ว่าฉันอาจจะต้องอยู่โรงพยาบาลอีกหลายวันก็ได้ เอาล่ะค่ะ ป้าหลิว ไปทำงานเถอะนะคะ ฉันไปก่อนนะ”
สวี่จือย่างทำเหมือนญาติที่แวะมาเยี่ยมบ้าน เธอโบกมือลาป้าหลิวแล้วก็ขึ้นรถพยาบาลไป
เจ้าหน้าที่บนรถพยาบาลก็เพิ่งเคยเห็นอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก คนไข้สามารถเดินขึ้นรถพยาบาลเองได้ ดูแล้วก็ไม่น่าจะป่วยหนักขนาดนั้น แล้วจะเรียกรถพยาบาลมาทำไมกัน เปลืองทรัพยากรทางการแพทย์จริงๆ
"พวกคนรวยนี่เก๊กจริง ๆ"
เจ้าหน้าที่ยังคงบ่นในใจ แต่แล้วก็เห็นสวี่จือย่างล้มลงบนเตียงเปลทันทีที่ขึ้นมาบนรถ
"เฮ้ย เกิดอะไรขึ้น?"
สวี่จือย่างหายใจอย่างอ่อนแรง หอบหายใจไม่ทัน พลางชี้ไปที่หัวของตัวเอง: "ฉัน... ฉันโดนตีที่หัว สงสัยว่า... สมองกระทบกระเทือน"
พูดจบ สวี่จือย่างก็รู้สึกคลื่นไส้และอาเจียนออกมา เธออาเจียนอาหารทั้งหมดในกระเพาะออกมา แต่ก็ยังไม่ทำให้อาการดีขึ้น เธอยังคงอาเจียนต่อไป จนสุดท้ายสิ่งที่ออกมามีเพียงน้ำย่อยและน้ำดีรสขม จนลิ้นชาไปหมด
เจ้าหน้าที่รีบเชื่อมต่อเครื่องมือ เปิดสัญญาณฉุกเฉิน และนำตัวสวี่จือย่างส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ก็เคลื่อนย้ายเธอเข้าห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็วและเป็นระบบ
กำแพงสีขาว แสงไฟสว่างจ้า และเจ้าหน้าที่ที่วิ่งวุ่นไปมา ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แพทย์ในชุดกาวน์สีขาวสะอาดสะอ้าน มีสีหน้าเคร่งขรึมและมุ่งมั่น รีบเข้ามาตรวจอาการของเธอทันที
“ได้ยินที่ผมพูดไหมครับ” แพทย์หนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาข้างๆ เธอ
“ฉัน... ฉันได้ยินค่ะ” สวี่จือย่างตอบเสียงแผ่วเบา
“ดีมากครับ ต่อไปผมจะถามคำถามคุณบางอย่าง พยายามตอบให้ได้นะครับ” แพทย์เริ่มประเมินสติเบื้องต้น “บอกชื่อของคุณได้ไหมครับ”
“สวี่จือย่างค่ะ” เธอพยายามรวบรวมสมาธิเพื่อให้ตัวเองมีสติมากที่สุด
“ดีมากครับ คุณสวี่ ตอนนี้ผมจะตรวจศีรษะของคุณหน่อยนะครับ” แพทย์ใช้นิ้วแตะที่ศีรษะของเธอเบาๆ เพื่อสังเกตปฏิกิริยา สวี่จือย่างรู้สึกเจ็บแปลบจนเผลอนิ่วหน้า
“เราต้องทำซีทีสแกน เพื่อยืนยันว่ามีภาวะสมองกระทบกระเทือนหรือการบาดเจ็บอื่นๆ หรือไม่” แพทย์ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว แล้วหันไปสั่งให้พยาบาลเตรียมอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
พยาบาลเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเป็นมืออาชีพ เตรียมเครื่องซีทีสแกน สวี่จือย่างถูกย้ายไปยังเตียงสแกนอย่างระมัดระวัง แพทย์ปลอบเธออยู่ข้างๆ ว่า “ไม่ต้องกังวลนะครับ กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาไม่นาน เราจะรีบตรวจให้เสร็จโดยเร็วที่สุด”
ในห้องซีทีสแกน เครื่องจักรส่งเสียงหึ่งๆ เบาๆ สวี่จือย่างหลับตาลง พยายามทำใจให้สบาย
ไม่กี่นาทีต่อมา แพทย์ก็ดูผลสแกน สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดขึ้น
เขารีบเดินมาที่ข้างเตียงของสวี่จือย่าง พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “คุณสวี่ครับ ผลตรวจพบว่าคุณมีภาวะสมองกระทบกระเทือนเล็กน้อย เราจำเป็นต้องทำเรื่องให้คุณนอนโรงพยาบาลทันที เพื่อสังเกตอาการและทำการรักษาต่อไปครับ”
“สมองกระทบกระเทือนเหรอคะ” หัวใจของสวี่จือย่างกระตุกวูบ รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
“ใช่ครับ แต่ไม่ต้องกังวลไป เราจะดูแลคุณอย่างเต็มที่” น้ำเสียงของแพทย์แฝงไปด้วยความเป็นมืออาชีพและความอบอุ่น ราวกับกำลังมอบความกล้าหาญให้เธอ
จากนั้น เจ้าหน้าที่ก็รีบทำเรื่องให้เธอนอนโรงพยาบาลและจัดหาห้องพักให้
สวี่จือย่างถูกเข็นเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยโดยมีพยาบาลอยู่ข้างๆ
แต่ทันทีที่เธอได้นอนลงบนเตียงเรียบร้อยแล้ว คุณหมอก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีลำบากใจเล็กน้อย ในมือถือกระดาษเอสี่ที่พิมพ์ออกมาหลายแผ่น บนนั้นมีตัวอักษรยิบย่อยเต็มไปหมด เนื่องจากระยะทางที่ไกลและตัวอักษรที่เล็กเกินไป ทำให้สวี่จือย่างมองไม่เห็นว่าเขียนอะไรไว้ แต่เธอก็พอจะเดาได้ว่าคงเป็นเอกสารยินยอมบางอย่างที่ต้องให้เธอเซ็นชื่อ
แต่สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจคือ เอกสารยินยอมเหล่านี้ต้องให้ญาติมาเซ็น
“คุณสวี่ครับ คุณมีเบอร์ติดต่อของญาติไหมครับ ผมต้องแจ้งให้ญาติของคุณมาเฝ้าไข้และชำระค่าใช้จ่ายครับ”
เรื่องจ่ายเงินไม่ใช่ปัญหา สวี่จือย่างเตรียมบัตรธนาคารของตัวเองไว้แล้ว เธอยื่นให้คุณหมอพร้อมกับบอกรหัสผ่านของเธออย่างไว้ใจ
คุณหมอมีสีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ดูจากท่าทางแล้ว คาดว่าเธอคงหาญาติมาเฝ้าไข้ไม่ได้
การคาดเดาของคุณหมอถูกต้องแล้ว เธอหาญาติมาเฝ้าไข้ไม่ได้จริงๆ บาดแผลของเธอก็เกิดจากพ่อผู้ให้กำเนิด ส่วนฮั่วถิงเซินก็เพิ่งจะหย่ากับเธอไปเมื่อเช้านี้ จะให้สามีเก่ามาดูแลเธอน่ะเหรอ? สวี่จือย่างหน้าไม่ด้านพอจะทำเรื่องแบบนั้นได้ ดูท่าคงต้องให้เพื่อนสนิทของเธอมาช่วยแล้ว
ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะว่างหรือเปล่า สวี่จือย่างใช้ลายนิ้วมือปลดล็อกโทรศัพท์ แล้วยื่นให้คุณหมออย่างไว้ใจ ให้คุณหมอจัดการเอง โดยให้หารายชื่อเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอในสมุดโทรศัพท์ นั่นก็คือ ลู่ซิวหย่วน
ยังไงซะลู่ซิวหย่วนก็ทั้งไม่ได้ทำงานและยังไม่แต่งงาน ตัวคนเดียว โสดสนิท ให้เขามาช่วยดูแลตัวเองหน่อยคงไม่เกินไปหรอกมั้ง?
ขณะที่สวี่จือย่างกำลังคิดเช่นนี้ คุณหมอก็หาเบอร์ของลู่ซิวหย่วนเจอพอดี และกำลังจะกดโทรออก
ในตอนนั้นเอง ประตูห้องพักผู้ป่วยก็ถูกผลักเปิดออก ชายร่างสูงขายาวเอวบางคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ทำไมเป็นคุณล่ะ” ทั้งชายคนนั้นและสวี่จือย่างต่างก็ตกใจ เห็นได้ชัดว่าไม่คาดคิดว่าจะได้เจออีกฝ่ายในสถานที่แบบนี้
คุณหมอเองก็หยุดการกระทำในมือ
“อ้าว รู้จักกันเหรอครับ”
ไม่ใช่แค่รู้จัก แต่พวกเขาคงนับว่าเป็นญาติกันได้กระมัง
ชายคนนี้ชื่อฮั่วจื่อจิ้น เป็นคุณอาเล็กของฮั่วถิงเซิน แม้ลำดับศักดิ์จะสูงกว่า แต่จริงๆ แล้วเขาอายุมากกว่าฮั่วถิงเซินเพียงสี่ปีเท่านั้น
ตอนที่ท่านผู้เฒ่าฮั่วมีฮั่วจื่อจิ้น ท่านก็อายุมากแล้ว ส่วนฮั่วถิงเซินก็ถือเป็นลูกหลงของพ่อแม่เขาเช่นกัน ดังนั้น ฮั่วถิงเซินกับคุณอาเล็กคนนี้จึงอายุใกล้เคียงกัน ถือว่าเป็นคนรุ่นเดียวกัน
ทั้งสองคนถ้าดูแค่หน้าตาก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง แต่บุคลิกกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ฮั่วจื่อจิ้นดูอ่อนโยนสุภาพ เหมือนเจนเทิลแมนอังกฤษ
ฮั่วจื่อจิ้นและสวี่จือย่างไม่เคยเจอกันเป็นการส่วนตัว พวกเขาเคยเจอกันโดยบังเอิญแค่ตอนที่ไปร่วมทานอาหารที่บ้านใหญ่เท่านั้น
สวี่จือย่างเพิ่งจะรู้เรื่องของคุณอาเล็กคนนี้ก็ตอนที่ได้ยินคนอื่นคุยกัน ได้ยินมาว่าเขาไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก เลยไปพักฟื้นอยู่ที่ต่างประเทศตลอด
และตอนที่เขากลับมาประเทศจีนใหม่ๆ ก็บังเอิญถูกลู่ซิวหย่วน เพื่อนสนิทของเธอขับรถชนเข้าพอดี
ชายคนนี้ทำเอาลู่ซิวหย่วนผู้มีรสนิยมชายรักชายหลงใหลจนหัวปักหัวปำ พร่ำเพ้อทุกวันว่าอยากจะทำให้เขาเบี่ยงเบน แต่ลู่ซิวหย่วนไม่ใช่คนที่จะไปบังคับฝืนใจชายแท้ เมื่อเขารู้สถานะของฮั่วจื่อจิ้นแล้ว ก็เลยไม่ได้ไปรบกวน
สวี่จือย่างยังจำได้ว่าตอนที่เธอรู้เรื่องนี้ครั้งแรก เธอยังชื่นชมลู่ซิวหย่วนว่าเป็นเทพแห่งรักบริสุทธิ์เลยทีเดียว
ทว่า คำตอบที่ลู่ซิวหย่วนให้กลับเป็นความจริงที่โหดร้ายกว่านั้นมาก
“ตลกน่า นั่นคนตระกูลฮั่วนะ ฉันมีกี่ชีวิตถึงจะกล้าไปยุ่งกับเขาล่ะ”
เมื่อนึกถึงตรงนี้ สวี่จือย่างก็ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
มุมปากของเธอยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มที่อ่อนหวาน เหมือนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน ดวงตาใสคู่นั้นเปล่งประกายแห่งความบริสุทธิ์ ราวกับสามารถมองเห็นความบริสุทธิ์และจิตใจดีงามของเธอได้ ในชั่วพริบตานั้น รอยยิ้มของเธอทำให้ทั้งห้องสว่างไสวขึ้นมาทันที
ฮั่วจื่อจิ้นและคุณหมอต่างก็มองอย่างตะลึงงัน จนกระทั่งคุณหมอได้สติก่อน จึงใช้ข้อศอกกระทุ้งฮั่วจื่อจิ้น
“ในเมื่อรู้จักกัน งั้นคุณก็มาเซ็นชื่อเลยแล้วกัน”
“แบบนี้จะเหมาะเหรอคะ” สวี่จือย่างไม่อยากจะรบกวนฮั่วจื่อจิ้นเท่าไหร่
“ไม่เป็นไร ผมก็ถือว่าเป็นญาติของคุณคนหนึ่ง” ฮั่วจื่อจิ้นพูดพลางเซ็นชื่อของตัวเองลงบนเอกสารยินยอมของญาติอย่างเด็ดขาด
เห็นได้ชัดว่าคุณหมอสนิทกับฮั่วจื่อจิ้นเป็นอย่างดี เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เพื่อนรักของเขาคนนี้... ท่าทางจะมีอะไรในกอไผ่ซะแล้ว?











































































































































































































































































































































































































































































































































































