บทที่ 8 ตอนที่ 6

“เฮ้อ จะบ้าตาย ยุคนี้ใช้อะไรซื้อของ ตำลึง แลกของ อ่อ อัฐ อัฐไงยืมอัฐหน่อยฉันอยากได้มีดดาบ” ข้าวเร่งเร้ามองหน้าบ่าวสามคนที่ลุกลนหาสิ่งที่ต้องการรอบตัวก่อนยิ้มแห้งๆส่งกลับพร้อมเพรียง

“บ่าวไม่มีหรอกเจ้าค่ะ บ่าวเป็นทาสนะเจ้าคะ แม่หญิงหยุดหยอกบ่าวเถิดเจ้าค่ะ ใจบ่าวจะวาย” รำพันพูดแทนสองคนที่พยักหน้าเห็นด้วย ข้าวหยุดนิ่งมองหน้าบ่าวรับใช้ของตนอย่างไม่เข้าใจ

“แม้นแม่หญิงจะมีอัฐมากมายก่ายกอง ข้าก็ไม่ทำให้ หญิงไม่ควรจับอาวุธคู่บ้านคู่เมือง แม่หญิงถอยกลับไปเถิด” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นทำให้ข้าวหันมองตาขวางกำมือแน่น

“ทำไมจะจับไม่ได้ วีรสตรีเคยผ่านศึกมามากมาย จับมีดดาบร่วมรบทั้งนั้นอะไรที่ไม่สมควรกันแน่ คิดว่าฉันถอดใจง่ายๆอย่างนั้นหรอ ฉันจะมีสักเล่มสองเล่มมันจะไม่ได้เลยหรือไง”

“ข้าจะไม่กล่าวอันใดกับแม่หญิงอีกต่อไป หลีกไปเสียเกะกะ” ชายหนุ่มเดินไปหยิบถังน้ำมาสาดข้างๆข้าวที่หลีกตัวหลบหันมองหน้าอย่างเจ็บใจ

“ได้ ไม่ทำให้ก็ได้ งั้นเอาไปเลยแล้วกัน” ข้าวกระตุกยิ้มเหยียดคว้ามีดดาบที่แช่อยู่ในน้ำขึ้นมาถือดูอย่างชอบอกชอบใจก่อนตวัดจ่อไปทางชายหนุ่มที่เดินเข้ามาอย่างเคร่งเครียดกับการกระทำของหญิงตรงหน้า

“แม่หญิงผู้นี้กิริยาห้าวหาญนักข้านับถือแต่ถึงอย่างไรก็ไม่คู่ควรกับแม่หญิง เรื่องศาสตราวุธยกให้เป็นของชายเสียดีกว่า ชายต้องปกป้องหญิงปกป้องบ้านเมืองสิ่งนั้นคือหน้าที่หากให้หญิงจับมีดดาบเยี่ยงนี้ แล้วชายเราจะมีความแข็งแกร่งไว้เพื่ออันใด ขอมีดดาบข้าคืนเถิด” ชายหนุ่มยื่นมือมาทางข้าวเอ่ยด้วยเสียงอ่อนลงทำให้ข้าวผ่อนลมหายใจยาวส่งดาบคืนอย่างเบื่อหน่ายเดินออกไปทางอื่น ชายหนุ่มรับมีดดาบมาถือไว้ก่อนเลื่อนสายตามองข้าวเดินจากไปจนลับตาตามด้วยบ่าวทั้งสาม

ข้าวเดินมาหยุดยืนนิ่งอยู่กลางตลาดสองฝั่งทางก่อนหมุนตัวมองหน้าบ่าวสามคนอย่างสงสัย รำไพสะดุ้งเฮือกก้มหน้างุดเช่นเดียวกับรำพันและรำเพยที่ยืนก้มหน้านิ่งตัวสั่นระริกอย่างหวั่นเกรง ข้าวมองทั้งสามอย่างพิจารณาก่อนยกมือมองตัวเองและเส้นผมสีแดงที่ทำการย้อมมาบ่งบอกว่านี่คือตัวเองชัดเจน

“ที่นี่ยังไม่เลิกทาสใช่ไหม” คำถามของข้าวทำแม่สาวสามรำเหล่มองกันก่อนเงยหน้าตอบอย่างงุนงง

“เจ้าค่ะ” เสียงประสานทั้งสามตอบพร้อมกัน

“ถ้านี่คือเรื่องจริงเล่ามาสิว่าฉันอยู่บนเรือนไทยได้ยังไง” ข้าวถามต่ออย่างหาข้อจับผิดและเริ่มสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ข้าว ข้าว” เสียงแหบแห้งดังแว่วมาทางด้านหลังทำให้ข้าวซึ่งได้ยินหันมองตามต้นเสียงทันทีจนเจอหญิงผมเผ้ารุงรังผอมแห้งผิวหยาบกร้านยื่นกะลาขอข้าวปลาอาหารทั่วแผง “ขอข้าวหน่อย หิวเหลือเกิน”

“ระวังเจ้าค่ะแม่หญิง” รำเพยเข้ามาประคองตัวข้าวหลบหญิงมอมแมมดังกล่าวที่หันมองช้าๆก่อนวิ่งเข้ามาใกล้ข้าว รำไพกับรำพันเข้ามาขวางกั้นยกขายันถีบไม่ให้หญิงมอมแมมเข้ามาถูกตัวข้าว

“มึงนี่บ้าไม่พอนะอีม้วยแม่นายน่าจะเฆี่ยนมึงให้ตายเสียด้วยซ้ำ อย่าริแตะต้องนายกู” รำไพชี้หน้าต่อว่าก่อนยกขายันหญิงมอมแมมให้ถอยห่าง

“แม่นาย แม่นาย ผี ผี” หญิงมอมแมมยกมือกุมหัวอย่างหวาดกลัวรีบวิ่งหนีไปทันที ข้าวมองตามอย่างแปลกใจ

“อีบ้านี่อย่าให้เจออีกนะ แม่หญิงกูพบพระคุณเจ้ามาแล้วจะเป็นผีสางได้เยี่ยงไร เจออีกครากูจะกดให้จมน้ำเลยทีเดียวเหมือนที่มึงทำกับแม่หญิงนี่กระไร” รำพันเท้าเอวด่าไล่หลังอย่างหัวเสียสร้างความสงสัยให้กับข้าวไปอีก

“เริ่มไม่สนุกแล้วแฮะ” ข้าวขมวดคิ้วยกมือจับหน้าผาก

“แม่หญิง!” สามรำอุทานเสียงหลงเมื่อข้าวเริ่มเซถลาถอยหลังกุมขมับ

หมับ!

มือหนาเรียวยาวจับแขนทั้งสองข้างของข้าวรั้งตัวไม่ให้ชนอกตนเองที่ยืนอยู่ด้านหลัง ข้าวลดมือลงก้มมองมือที่ละออกก่อนหมุนตัวเงยหน้ามองร่างสูงล่ำบดบังย้อนแสงอาทิตย์ ความผ่าเผยของชายหนุ่มทำข้าวคุ้นเป็นอย่างดีแม้จะเพิ่งพบกันไม่นาน

“แม่สร้อยทองไปไหนหรือ” ภาพย์เอ่ยอย่างสุภาพมองหน้าข้าวที่ขมวดคิ้วมองสบตาก่อนตอบ

“จันทร์หอม ขุนภาพย์” ยังไม่ทันตอบเสียงเรียกดังเข้ามาขัดจังหวะ ข้าวเอียงหน้ามองสร้อยทองที่ยกมือลูบอกเดินเข้ามาจับมือข้าวพร้อมลูบผมอย่างห่วงใยจนสัมผัสถึงไออุ่น ข้าวมองหญิงตรงหน้าอย่างนิ่งคิด

“รู้หรือไม่ข้าเป็นห่วงเจ้ามากเพียงใด เจ้าเองยังไม่หายดี เรากลับกันเสียดีกว่า ขุนภาพย์เสร็จกิจแล้วใช่หรือไม่” สร้อยทองจับมือข้าวก่อนหันมาถามภาพย์ที่พยักหน้ารับพร้อมตอบ

“ใช่ เช่นนั้นกลับกันเถิด ข้าจะไปส่งที่เรือน”

ข้าวมองหน้าสร้อยทองที่ดูร้อนใจจูงมือเธอเดินย้อนกลับไปที่ท่าเรือโดยมีภาพย์เดินตีคู่ไปพร้อมกัน ปิดท้ายด้วยบ่าวของทั้งสอง ความสับสนเริ่มก่อกวนอยู่ในหัวตลอดทางที่นั่งเรือกลับเรือน

บทก่อนหน้า
บทถัดไป