บทที่ 6 บาปกรรมยิ่งนัก
“บัดซบ ชีวิตของเหวินซืออี้... ต้องมาสิ้นลงในเวลานี้ ข้าอายุยังน้อย และเด็กในท้องยังต้องรับกรรมที่ไม่ได้ก่อ”
ร่างเหวินซืออี้โอนเอนไปมา และไร้กำลังทรงตัวได้อีก
ยามนั้นนางมองไปยังศัตรูของตน เป็นศัตรูที่นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปสร้างความแค้นให้พวกเขาตั้งแต่เมื่อใด
ทั้งพระสนมจือ ขันทีห่าว และอีกหลายชีวิตที่ยืนหัวเราะเมื่อเห็นนางได้รับความทุกข์ทรมาน
เหวินซืออี้พยายามกลั้นน้ำตา และไม่มีวันที่นางจะไม่ร้องไห้ หรือขอชีวิตจากพวกมัน!
“หึ... อย่างน้อยที่สุด ข้าก็ได้ใช้ชีวิตนี้ เป็นประโยชน์ต่อสกุลเหวินบ้าง ข้อความสุดท้ายนี้ หวังว่าข้าจะรักษาชีวิตคนที่ข้ารักไว้ได้สักคน หากชาติหน้ามีจริง... ข้าไม่ขอเกิดเป็นเหวินซืออี้แต่ขอให้ข้ามากด้วยวาสนา มีปัญหาหลักแหลม มากด้วยไหวพริบ และได้มีทายาทเป็นของตนสักคน”
ชั่วอึดใจ ร่างงดงามในชุดเจ้าสาวก็ล่วงหล่นกระแทกพื้นอย่างแรง ยามนั้น เลือดไม่ได้ไหลแค่จากศีรษะ หากเบื้องล่าง ก้อนเนื้อเล็กๆ ในท้องก็จบชีวิตไปพร้อมเหวินซืออี้
ย้อนเวลา (เข้าร่างจางเหยา)
หญิงสาวไม่แน่ใจว่าเกิดเหตุอันใด แต่เมื่อครู่ริมฝีปากนางถูกใครบางคนฉกชิมความหวานไปอย่างเร้าร้อน ช่างพิลึกและชวนให้ขนลุกโดยแท้ ซึ่งไม่ใช่แค่จูบ แต่ฝ่ายนั้นยังพยายามส่งลิ้นเข้าไปด้านในโพรงปากด้วย
เหวินซืออี้สะดุ้งเอือก ลืมตาโพลง ในหัวมึนงงชั่วขณะ ภาพต่างๆ ย้อนกลับไปกลับมาให้ได้คิด ตัดสลับกับเรื่องราวตรงหน้า โอ้ นางกำลังปลอมตัวเป็นบุรุษ แม้ดูรูปงาม แต่มองยังไงก็เป็นชายชาตรี ท่าทางไม่เหมือนขันทีสักหน่อย แล้วคนที่จูบนางเล่า เป็นพวกต้วนซิ่วหรืออย่างไร เขาถึงได้กระทำในสิ่งที่ชวนให้กระอักกระอ่วนเช่นนี้ นางหันไปมองอีกร่างที่นอนหลับในท่าผ่อนคลาย เสียงหายใจเขาสม่ำเสมอ
พอนางสำรวจให้ดี พบว่าตนกับคนผู้นี้มีเถาวัลย์ผสานใจรัดที่ข้อมือไว้คนละข้าง นี่คงเป็นเหตุที่ทำให้นางรู้สึกอึดอัดนับแต่เข้ามาอยู่ในร่างผู้อื่น
เหวินซืออี้พยายามจับต้นชนปลายสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน นางฟื้นกลับมาจากเหตุการณ์บนกำแพงสูงป้อมสังเกตการณ์เมืองไฉ ยามนี้อยู่เพียงลำพังกับบุรุษแปลกหน้า เป็นชาติภพที่นางได้ย้อนเวลามามีชีวิตอีกครั้ง
พอนางขยับตัวแรงกว่าเดิม เถาวัลย์จึงรัดข้อมือนางแน่น มันทำให้บุรุษร่างสูงที่นอนหลับลืมตา ฝ่ายเขาแกล้งทำเป็นงัวเงีย ก่อนยกยิ้มตรงมุมปาก และกล่าวด้วยน้ำเสียงอย่างคนยียวน“นักพรตน้อย เมื่อครู่ข้าต้องขออภัย เผลอเป่าลมใส่ปากเจ้าหลายครั้ง ช่วยไม่ได้ที่เรียกอย่างไรก็ไม่ตื่น และคงฝันร้ายมากสินะ จึงทั้งหยิกข่วนข้า กัดหู กัดปากข้าด้วย เฮ้อ...ช่างน่าสงสาร
ก่อนหน้านั้น เจ้ามีอาการตาเหลือก ตัวเกร็ง ข้าเลยต้องยินยอมพลีกายเติมลมหายใจให้เจ้า ด้วยการเป่าลมใส่ปากไปหลายอึก บุรุษทั้งแท่งเช่นข้า ทำเช่นนี้ เพื่อช่วยชีวิตเจ้า”
เหวินซืออี้ส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ คนผู้นี้พูดจาเหลวไหลที่สุด นางเตรียมสาดคำพูดร้ายๆ ต่อว่าเขา แต่ชายหนุ่มเอ่ยแทรกเสียก่อน “อมิตาพุทธ บาปกรรมๆ ตัวติดกันก็แย่แล้ว นักพรตน้อยยังโมโหร้ายต่อข้าอีก นับเป็นการทำบุญบูชาโทษโดยแท้ ถ้าข้าไม่ช่วยเจ้าให้หลบหนีพวกสุนัขสุยจ้วงที่สุสานโบราณ ตัวเจ้าคงถูกมันเลาะกระดูก และเอาเนื้อหวานๆ ไปกินจดหมด”
ยามนั้นเหวินซืออี้ พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวในหัวเร็วรีบ นับว่าเจ้าของร่างเป็นคนที่ฉลาดมากด้วยไหวพริบ จึงทำให้นางรู้ว่ายามนี้ ตนกลายเป็นจางเหยา อีกฝ่ายคือน้องสาวของบิดานางนั่นเอง และหนีออกจากคฤหาสน์ใหญ่สกุลเหวินตั้งแต่อายุได้สิบห้าปีสิบหกปี นางขึ้นเขาศึกษาความรู้ เพื่อเอาตัวรอดจากผู้อื่น จางเหยาจึงมักปลอมตัวเป็นบุรุษ!
ดวงตากลมโตมองชายที่อมยิ้มในสีหน้า ท่าทางเขาไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป ทั้งผิวพรรณ และเสื้อผ้าที่สวมแม้ดูออกว่าปลอมตัวมิต่างจากนาง แต่เป็นของมีราคา
“หึๆ ๆ เรื่องต่อจากนี้ ย่อมเป็นบาปกรรมใหญ่ เพราะข้าจะตัดแขนท่านทิ้งเสีย จากนั้นข้าจะได้เป็นอิสระ ไม่ต้องตัวติดกับคนฉวยโอกาสที่กล้าล้วงเกินนักพรต!”
กล่าวจบเหวินซืออี้จึงล้วงเข้าไปในอกเสื้อ และอย่างที่นางคาดไว้ไม่ผิด มีมีดสั้นซ่อนอยู่ มีดดังกล่าวติดตามนางไปทุกที่ มันคือสิ่งย้ำเตือนว่านางเป็นใคร มีลมหายใจเพื่อสะสางความแค้น
ด้วยท่าทางนางเอาจริง บุรุษร่างสูงที่ผิวขาวละเอียด ใบหน้าคมคายจึงหุบยิ้มฉุบ “นักพรตน้อย เหตุใดถึงอยากทำบาปเยี่ยงนั้น”
“ฮึ ผู้ใดบังอาจล่วงเกินข้า ย่อมมิสมควรมีชีวิตรอด แต่เอาเถิด ก่อนวิญญาณท่านหลุดออกจากร่าง ข้าขอทราบชื่อแซ่เสียก่อน อย่างน้อยเผื่อคุณธรรม แล้วตัวข้าจะแกะสลักป้ายเล็กๆ หน้าหลุมศพไว้ให้”
“เจ้าล้อข้าเล่นหรอกหรือนี่ อีกอย่างชื่อข้าสมควรให้ผู้อื่นล่วงรู้ง่ายๆ ได้เยี่ยงไร”
เขาว่าและคราวนี้กลับมายิ้มอีกหน ทั้งลักยิ้มข้างแก้ม และดวงตาที่มีน้ำใสหล่อเลี้ยงอยู่ข้างใน ทำให้คนผู้นี้มีเสน่ห์อย่างล้นเหลือ นอกเหนือจากนั้น นางมีความรู้สึกว่าคุ้นเคย
อีกฝ่ายเป็นอย่างดี ทว่ากลับยังรื้อฟื้นความทรงจำไม่สำเร็จ
“จงบอกชื่อท่านมา” นางขู่ และน้ำเสียงก็ห้วนกระด้าง
“ฮ่าๆ ๆ แท้จริงแล้ว คนอย่างข้าไร้นาม และเป็นบุรุษที่ว่างงานที่สุดในใต้หล้า” คำที่เขาเอ่ยทำให้เหวินซืออี้นึกถึงบางสิ่ง และเรื่องราวในชาติก่อน ความคิดดังกล่าวส่งผลให้นางมือเท้าเย็นทันที
“มีคนผู้หนึ่งเคยพูดเช่นนี้ และข้าเคยได้ยินเมื่อนานมาแล้ว”
“โอ้ ใครกล้าเลียนแบบข้า คนผู้นั้นไม่สมควรมีลิ้น และฟันไว้พูดอีกต่อไป”
เหวินซืออี้มองเขาใหม่ พินิจอย่างละเอียด ไม่รู้เหตุใด นางจึงคาดคะเนว่า เขาอาจเป็นบุคคลที่นางควรไว้ชีวิต และสมควรหาประโยชน์จากเขาให้มากที่สุด
