บทที่ 7 ยังไม่ทันได้ตั้งตัว

“อย่างไรก็ตามเรื่องที่ท่านล่วงเกินข้า ย่อมต้องเก็บงำไว้เป็นความลับ”

“แน่นอน อย่างไรก็เปิดเผยไม่ได้” เขายังไม่วายยียวนต่อ พอชายหนุ่มเตรียมลุกขึ้นยืน นางก็รู้ว่าตนกับอีกฝ่ายตกลงมาในหลุมขนาดใหญ่

“เอ๊ะ... ท่านบาดเจ็บหรอกหรือ” ดวงตากลมโตมองเขา เห็นว่าอีกฝ่ายเคลื่อนตัวลำบาก คาดว่าคงมีแผลอยู่ในร่มผ้า

คนผู้นั้นพยักหน้า เอ่ยอย่างภูมิใจ “หากข้าไม่เอาตัวปกป้องนักพรตน้อยในตอนที่พลัดตกลงมา เจ้าคงเสียเลือดยิ่งกว่านี้ ส่วนตัวข้าแผลเล็กๆ นั้นไกลหัวใจเหลือเกิน ถึงเจ็บอยู่บ้าง แต่นับว่าทนได้” เขาว่า แต่ท่าทางดูแล้วเจ็บหนัก

“ให้ข้าดูเถิด เผื่อช่วยเหลือท่านได้”

“นักพรตน้อย แม้เราทั้งคู่เป็นบุรุษ แต่คงไม่เหมาะที่จะเปลื้องผ้าให้อีกฝ่ายสำรวจเรือนร่าง อีกอย่างมันอยู่ใกล้จุดสำคัญของบุรุษ เจ้าย่อมรู้ดี งูตาเดียว ไม่ว่าอย่างไรก็มีพิษร้าย”

เขาพูดปกติ ทว่าเหวินซืออี้หน้าแดงระเรื่อ ด้วยเข้าใจแล้วว่า เขาคงมีแผลที่ต้นขานั่นเอง

จากนั้นไม่นาน มีเสียงฝีเท้าทั้งหนักและเบาดังก็อยู่ด้านบนปากหลุม

“คุณชาย ท่านอยู่ด้านล่างหรือไม่ บ่าวเชื่องช้า แม้มีสิบหัวก็ไม่พอให้ตัด!”

เสียงร้องเรียกนั้น สูงกว่าบุรุษทั่วไป อีกทั้งการใช้คำพูดเหมือนพวกอยู่ในรั้วในวัง

“ท่านเป็นผู้ใดกันแน่ ถึงได้มีผู้อื่นหมายยื่นมือมาช่วยเช่นนี้”

เขายิ้มให้เหวินซืออี้ และเอ่ยด้วยถ้อยคำเดิมแต่เพิ่มเติมคือน้ำเสียงที่น่าหมั่นไส้

“คนว่างงาน หากนักพรตน้อยอย่างแกะสลักป้ายชื่อหน้าหลุมศพให้ข้าจริงๆ จงใช้คำว่า เกาหาน ก็แล้วกัน”

เมื่ออีกฝ่ายบอกนางเช่นนั้น ร่างกายเหวินซืออี้ก็แข็งทื่อชั่วขณะ แน่แล้วคนผู้นี้ภายหน้าก็คือ เหลียงอ๋อง... หรือฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่นั่นเอง ชื่อของเขาคือ สวีเกาหาน และยังเป็นบิดาของหนามหัวใจนางเมื่อชาติภพก่อน สตรีแพศยาที่ชื่อเกิงเตียวอิ๋ง หรือองค์หญิงหก !

และไม่ทันที่นางจะทันได้คิดสิ่งใดต่อ ร่างหนึ่งก็ใช้วิชาตัวเบา ลงมาอยู่ด้านล่าง พลางตวัดสายตามองมายังเหวินซืออี้

คนผู้นั้นสวมชุดรัดกุมสีดำ ทำให้โทสะเหวินซืออี้พลุ่งพล่านขึ้นอย่างรวดเร็วคือ ผ้าแพรสีม่วงที่พันอยู่รอบคอเขา

หึๆ ๆ สวรรค์เปิดโอกาสให้นางได้พบหน้าศัตรูเร็วเยี่ยงนี้ แต่น่าเสียดาย ที่เหวินซืออี้ยังต้องฝึกฝนตนเองอีกสักหน่อย นางจึงจะจัดการคนพวกนี้ให้สิ้นซากในคราวเดียว

“คุณชายรอง ยามนี้มีเรื่องที่ท่านต้องตัดสินใจเร่งด่วน” เสียงอีกฝ่ายที่กล่าวกับคนตัวสูงฟังแล้วขัดหูเหวินซืออี้

“อาห่าว อย่าเอาแต่เร่งเร้าข้า ยามนี้ก็เห็นอยู่ว่ามีนักพรตน้อยอยู่ด้วย และด้ายแดงนี้ได้ร้อยใจข้ากับเขาได้ด้วยกัน”

ขันทีหนุ่มแยกเขี้ยวใส่เหวินซืออี้ และแก้คำพูดเจ้านายของตนเสียใหม่ “มันคือเถาวัลย์ผสานใจ เช่นนี้ท่านกับนักพรตน้อยคงยากจะแยกจากกัน ยกเว้นก็แต่ให้ข้าตัดแขนเขาทิ้งเสีย เพียงเท่านั้นทุกอย่างย่อมเรียบร้อย”

“ฮ่าๆ ๆ มิได้ เป็นเขาต่างหาก ที่คิดตัดแขนข้า” สวีเกาหานกล่าวทีเล่นทีจริง

ฝ่ายขันทีหนุ่มถลึงตาใส่เหวินซืออี้ และหมายจะจัดการนาง ทว่าเหวินซืออี้กับชี้หน้าเขา และตวาดใส่ว่า

“ขันทีห่าว นอกจากท่านถูกตอนจนกุดแล้ว ยังต้องการให้ข้าควักหัวใจออกมาด้วย ใช่หรือไม่”

เสียงของนาง และคำพูดที่แจ้งชัด ทำให้ทั้งห่าวเจีย และสวีเกาหานที่ปลอมตัวเป็นคุณชายเสเพล ต่างหยุดชะงัก มองนางด้วยความฉงน

“ดูเหมือนนักพรตน้อย จะเป็นสายลับ หรือไม่ก็มือสังหารสินะ ถึงได้ล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงคนของข้า”

เหวินซืออี้คิดใคร่ครวญไปมา และตอบกลับด้วยเสียงราบเรียบ “บุรุษที่เสียงสูง ทั้งยังมีผ้าแพรม่วงพันคอ หากไม่ใช่หน่วยแพรม่วงแล้วจะเป็นผู้ใด”

“ถึงอย่างนั้น หน่วยแพรม่วงก็มีคนมิน้อย เหตุใดนักพรตน้อยจึงเจาะจงว่าเป็นอาห่าวกันเล่า”

สวีเกาหานถามจี้ แต่เหวินซืออี้ที่ผ่านความตายมาแล้ว ทั้งยังอยู่ในร่างที่มากด้วยไหวพริบ มีหรือนางจะเกรงกลัวสิ่งใดง่ายๆ

“เพราะท่านคือคนที่ว่างงานที่สุดในใต้หล้า และยังมีขันทีหน่วยพิเศษติดตาม หากผู้ที่พอมีความรู้ในใต้หล้านี้ คงมองออกว่า ท่านคือองค์ชายรอง หานอ๋อง รัชทายาทแคว้นเหลียง!”

สวีเกาหานหัวเราะเสียงดัง จากนั้นเขาก็ทำในสิ่งที่เหวินซืออี้ไม่ทันตั้งตัว คือการสกัดจุดหญิงสาว และให้ห่าวเจีย และคนของอีกฝ่ายช่วยเขากับนางขึ้นไปยังด้านบน

บทก่อนหน้า
บทถัดไป