บทที่ 2

“อมีเลีย ดีใจจริงๆ ที่หนูกลับมา”

ดวงตาของเบียงก้าเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาขณะที่เธอพูด “คุณย่าใจสลายเลยนะคะตอนที่รู้ว่าหนูต้องอยู่ข้างนอกคนเดียว ตอนนี้หนูกลับมาแล้ว ก็ถึงเวลาคืนของที่เป็นของหนูอย่างถูกต้อง...บ้านและครอบครัวของหนู”

“แน่นอนอยู่แล้ว” อมีเลียตอบกลับโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ในน้ำเสียงของเธอไม่มีความถ่อมตนเลยสักนิด

เบียงก้าถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ทำไมอมีเลียไม่เล่นตามน้ำไปด้วยล่ะ

อมีเลียยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วพูดว่า “ตัวตนของเธอ ทุกอย่างที่เธอมี มันควรจะเป็นของฉัน”

“เธอ...” ใบหน้าของเบียงก้าแดงก่ำด้วยความอับอาย ไม่สามารถรักษาท่าทีสงบเสงี่ยมไว้ได้อีกต่อไป เธอบิดมือไปมาแล้วมองไปที่คุณย่ามาเบลอย่างน่าสงสาร

เบียงก้าพูดว่า “คุณย่าคะ ดูเหมือนว่าอมีเลียจะไม่ชอบหนูเลย หนูจะย้ายออกไปทันทีค่ะ จะได้ไม่ทำให้ครอบครัวมาร์ติเนซต้องบาดหมางกัน”

อมีเลียไม่มีความอดทนให้กับละครน้ำเน่าฉากนี้ เธอจึงพูดว่า “ถ้าจะไปก็ไปสิ จะเล่นใหญ่ไปทำไม”

เบียงก้าดูอับอาย แต่ก็รีบกลับไปร้องไห้อีกครั้ง “ขอบคุณคุณย่าที่ดูแลหนูเป็นอย่างดีมาตลอดหลายปีนี้นะคะ”

มาเบลซึ่งเอ็นดูเบียงก้ามาโดยตลอดรู้สึกใจอ่อนเมื่อเห็นใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของเธอ นางจับมือเบียงก้าไว้แล้วตำหนิว่า “พูดอะไรอย่างนั้น”

จากนั้นมาเบลก็หันไปหาอมีเลีย พูดอย่างจริงจังว่า “เบียงก้าเปรียบเสมือนคนในครอบครัวของเรามานานแล้ว ตระกูลมาร์ติเนซจะทิ้งขว้างเขาไปเฉยๆ ไม่ได้ จากนี้ไป หนูคือคุณหนูของตระกูลมาร์ติเนซ และหนูควรถือว่าเขาเป็นพี่เป็นน้องกัน”

ใบหน้าของอมีเลียฉายแววเย้ยหยัน แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร เสียงของพ่อบ้านก็ขัดจังหวะขึ้น “คุณนายเฮเลน บราวน์ และคุณวิลเลียม บราวน์ มาถึงแล้วครับ!”

ทุกคนหันไปมองทางเข้าทันที

หญิงสูงวัยผู้สง่างามเดินเข้ามาเป็นคนแรก แผ่รังสีแห่งความสูงศักดิ์ ข้างๆ กันนั้น ชายในรถเข็นคนหนึ่งตามเข้ามา แต่จากมุมของอมีเลีย เธอเห็นเพียงมือที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดของเขาวางอยู่บนที่พักแขน

แขกเหรื่อมองพวกเขาด้วยสายตาที่ผสมผสานระหว่างความเคารพและความสงสาร

บรรดาผู้อาวุโสของตระกูลมาร์ติเนซเดินเข้าไปทักทาย และอมีเลียกำลังจะตามไป แต่เบียงก้าคว้าตัวเธอไว้

รอยยิ้มของเบียงก้าบิดเบี้ยว ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความอาฆาต เธอประซิบว่า “เธอคิดจริงๆ เหรอว่าจะแย่งทุกอย่างไปจากฉันได้ คิดจริงๆ เหรอว่าตระกูลมาร์ติเนซพากลับมาเพื่อให้เธอมาเสวยสุขน่ะ”

“ตระกูลมาร์ติเนซกับตระกูลบราวน์มีสัญญาหมั้นหมายกันมานานแล้ว แต่ฉันไม่อยากแต่งงานกับไอ้คนพิการนั่น ตระกูลมาร์ติเนซให้ความสำคัญกับคำสัญญา แล้วพวกเขาจะทำยังไงได้ล่ะ ก็ต้องไปตามหาเธอ...ยัยตัวซวยไง”

เบียงก้าเสริมว่า “เธอควรจะขอบคุณฉันนะ ไม่อย่างนั้นเธอไม่มีวันได้มาถึงจุดนี้หรอก ถึงคุณบราวน์จะพิการ แต่ก็ยังดีกว่าผู้ชายส่วนใหญ่ตั้งเยอะ”

พูดจบเธอก็ผลักอมีเลียไปข้างหน้า หวังจะให้หญิงสาวล้มลงขายหน้าแขกเหรื่อชนชั้นสูง

อมีเลียซึ่งยังคงประมวลผลคำพูดของเบียงก้าอยู่ เสียการทรงตัวและเซไปข้างหน้า ในจังหวะที่เธอกำลังจะพุ่งชนเข้ากับรถเข็นนั่นเอง มือแข็งแรงข้างหนึ่งก็คว้าเอวเธอไว้แล้วช่วยพยุงขึ้น

“ขอบคุณ...” อมีเลียเริ่มจะขอบคุณผู้ช่วยชีวิต แต่คำพูดกลับติดอยู่ในลำคอ

ดวงตาคู่นั้น...ที่เคยดุดันและอันตรายเมื่อคืนก่อน ตอนนี้กลับสงบนิ่งและดูเป็นสุภาพบุรุษ

“ใครซุ่มซ่ามอย่างนี้” เฮเลนถามด้วยความเป็นห่วงว่าวิลเลียมอาจได้รับบาดเจ็บ

เอวารีบดึงอมีเลียออกมาเพื่อขอโทษ “อมีเลียเพิ่งกลับมาน่ะค่ะ เลยยังไม่ค่อยรู้ธรรมเนียมเท่าไหร่ อย่าถือสาเธอเลยนะคะ”

เบียงก้าฉวยโอกาสสวมบทนางเอกผู้ถูกรังแกทันที ดวงตาของเธอฉายแววร้ายกาจ “เป็นความผิดของหนูเองที่ทำให้อมีเลียไม่พอใจ เธอคงโกรธมากจนอยากจะหนีไป”

อมีเลียเหยียดยิ้มให้กับการแสดงของคู่แม่ลูก พวกเขากำลังพยายามป้ายสีว่าเธอเป็นคนหยาบคายและเจ้าอารมณ์

เดิมทีเธอวางแผนว่าจะมาปรากฏตัวแค่ครู่เดียวแล้วหาข้ออ้างออกจากคฤหาสน์มาร์ติเนซไป แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนใจแล้ว

เธอมองไปที่เฮเลนแล้วยิ้มอย่างอบอุ่น “คุณนายบราวน์คะ หนูขอโทษค่ะ พอดีเบียงก้ารีบร้อนอยากให้หนูมาพบคุณเหลือเกินก็เลยผลักหนูเข้าน่ะค่ะ หนูแค่เสียหลักไปหน่อย”

อมีเลียไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมารังแกง่ายๆ

สีหน้าของเฮเลนเปลี่ยนไปทันที เธอตวาดกลับ “หล่อนไม่ได้รีบร้อนอยากให้เธอมาพบฉันหรอก หล่อนรีบร้อนอยากจะสลัดวิลเลียมทิ้งต่างหาก ไม่ใช่หรือไง”

เฮเลนพูดต่อ “เมื่อก่อนเคยเรียกฉันว่า ‘คุณย่า’ แถมยังสัญญาว่าจะดูแลฉันอย่างดี แต่พอวิลเลียมประสบอุบัติเหตุ หล่อนก็ปฏิเสธที่จะแต่งงานกับเขาทันที!”

มาเบลรีบออกรับแทนเบียงก้า “การหมั้นหมายแต่เดิมเป็นเรื่องของลูกคนโตของทั้งสองตระกูล ไม่ใช่ความผิดของเบียงก้านะคะ ต้องโทษข้อตกลงตั้งแต่แรกสิคะ!”

เฮเลนเมื่อเถียงไม่ขึ้นก็หันมาจ้องมองอมีเลียด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ ราวกับจะพูดประชดเบียงก้า เธอกล่าวว่า “จะว่าไปแล้ว อมีเลียดูเหมือนคนในครอบครัวของคุณจริงๆ นะ ทั้งสวยทั้งน่ามอง”

จากนั้นเฮเลนก็เหลือบมองเบียงก้าอย่างดูแคลนแล้วพูดว่า “ไม่เหมือนบางคนที่อกตัญญู คุณน่าจะลองไปตรวจสอบพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของหล่อนดูนะ รากเหง้าไม่ดีก็ไม่มีทางออกผลที่ดีได้หรอก อย่าปล่อยให้หล่อนมาสร้างความวุ่นวายในครอบครัวของคุณเลย”

คำดูถูกซึ่งหน้าทำให้ใบหน้าของเบียงก้าซีดเผือดด้วยความโกรธและความอับอาย เธอกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ “คุณนายบราวน์คะ อย่าโกรธเลยค่ะ คุณเข้าใจฉันผิดไปแล้ว”

เอวาไม่อาจทนเห็นเบียงก้าเจ็บปวดได้จึงก้าวออกมาปกป้อง “อย่าทำให้เธอลำบากใจเลยค่ะ ให้สายเลือดของตระกูลมาร์ติเนซเองแต่งเข้าตระกูลบราวน์จะไม่ดีกว่าหรือคะ”

ผู้หญิงสองคนยืนขนาบข้างเบียงก้าอย่างปกป้อง ในขณะที่ทายาทตัวจริงอย่างอมีเลียกลับต้องยืนอยู่ข้างๆ ราวกับเป็นคนนอก

พวกเขาพูดคุยเรื่องการแต่งงานโดยไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของอมีเลียเลยสักนิด

อมีเลียลดสายตาลง ซุกซ่อนความเย็นชาและความผิดหวังไว้ภายใน

เธอเคยหวังในความรักความอบอุ่นของครอบครัว แต่ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นได้แค่เพียงความหวังตลอดไป

เบียงก้าเหลือบมองอมีเลีย ใบหน้าฉายแววเหนือกว่าก่อนจะแสร้งทำเป็นเสียใจ “ดูเหมือนอมีเลียจะไม่ชอบฉันนะคะ ถ้าคุณไม่อยากแต่งงานกับคุณบราวน์จริงๆ ฉันแต่งแทนก็ได้นะ”

“อย่าพูดโง่ๆ สิ การแต่งงานเป็นเรื่องของลูกสาวคนโต เธอก็ไม่ใช่ลูกคนโตแล้วจะยอมเสียสละตัวเองไปทำไม” มาเบลรีบพูดแทรกด้วยความเป็นห่วงชื่อเสียงของเบียงก้า

เมื่อมีคนหนุนหลัง เบียงก้าก็ยิ่งได้ใจ “แต่ฉันไม่อยากให้อมีเลียต้องลำบากใจนี่คะ ฉันแค่อยากจะเข้ากับเธอให้ได้”

มาเบลหันไปตำหนิอมีเลีย “อมีเลีย ในฐานะพี่สาวก็ควรจะมีความรับผิดชอบสิ ทำไมเอาแต่ขัดใจเบียงก้าอยู่เรื่อย”

อมีเลียหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วจงใจถามขึ้นว่า “เบียงก้า ทำไมเธอถึงคิดว่าการแต่งงานกับคุณบราวน์เป็นภาระและความทุกข์ทรมานล่ะ หรือว่าเธอดูถูกคุณบราวน์กันแน่”

บรรยากาศพลันตึงเครียดขึ้นมาทันที และทุกคนก็เริ่มวิตกกังวล

แม้ว่าวิลเลียมจะมีสภาพเช่นนี้ แต่ตระกูลบราวน์ก็ยังคงเป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเมืองซิลเวอร์ไลท์ การที่เบียงก้าแสดงท่าทีรังเกียจวิลเลียมถือเป็นการดูหมิ่นตระกูลบราวน์ทั้งตระกูล

ท่ามกลางความเงียบที่น่าอึดอัด น้ำเสียงนุ่มนวลทว่าชัดเจนก็ดังขึ้น “ผมอยากจะคุยกับคุณมาร์ติเนซตามลำพัง ไม่ทราบว่าจะได้ไหมครับ”

ผู้พูดไม่ใช่ใครอื่นนอกจากวิลเลียมซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นนั่นเอง

บทก่อนหน้า
บทถัดไป