บทที่ 9 9
ข้าวปั้นรีบดันตัวออกห่างจากอ้อมแขนของเขาทันทีพร้อมกับเสียงสบถของอีกฝ่ายดังขึ้นอย่างขัดใจ แต่ก็ยอมหยิบมือถือขึ้นมารับสายพร้อมต่อว่าปลายสายเสียงเข้มเป็นภาษาเยอรมัน ข้าวปั้นยืนฟังการสนทนาของชายหนุ่มข้างกายไม่ยอมขยับไปทางอื่นด้วยเพราะว่าเธอเรียนจบโทด้านภาษาเยอรมันมา ทำให้เธอมักได้รับหน้าที่ประสานงานกับต่างชาติอยู่บ่อยครั้ง
“มีอะไร” วิลเลียมกรอกเสียงห้าวลงไปตามสายอย่างขัดอารมณ์
(“อะไรกัน ติดสาวอยู่หรือยังไงถึงไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง”)
แอนดรูว์ ดอว์สัน บุตรชายคนที่สามของตระกูลดอว์สันไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัว ผันตัวเองไปเป็นผู้อำนวยการด้านการแพทย์ มีโรงพยาบาลหลายสาขาในสวิตเซอร์แลนด์ ทว่าก็ยังเป็นอีกเสียงของผู้บริหาร มีสิทธ์เห็นชอบและคัดค้าน
“ช่วงนี้พวกนายคิดถึงฉันมากนักหรือยังไง วัน ๆ ไม่มีงานทำ เอาแต่โทร.มากวนประสาทแบบนี้” วิลเลียมต่อว่า สายตาคมเหลือบมองสาวน้อยข้างกายที่ยืนฟังการสนทนาของเขาอยู่ตอนนี้
ปลายสายหัวเราะชอบใจ (“วีดาตามไปราวีถึงเมืองไทยเลยหรือ”)
“เออ วุ่นวายชะมัด” น้ำเสียงเข้มขึ้นจากบทสนทนาของชายหนุ่มทำให้ข้าวปั้นหันมองหน้าอย่างสงสัย แต่ก็ต้องหลุบตาลงต่ำเพราะถูกอีกฝ่ายมองอยู่
ก่อนแล้ว
(“ก็หาลูกสะใภ้กลับมาด้วย แค่นั้นก็หมดปัญหาแล้ว”) แอนดรูว์พูดขึ้น แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็โดนหางเลขไปด้วย แต่ถึงอย่างไรผู้ชายตระกูลดอว์สันก็ไม่ชอบถูกบังคับ แต่ถ้าบังคับคนอื่นอาจไม่แน่
“เจออยู่คนหนึ่ง แต่สงสัยต้อง ‘ฉุด’ ถึงจะยอม” วิลเลียมพูดขึ้นพร้อมเอื้อมมือไปเกลี่ยแก้มนุ่มของคนข้างกาย
(“จะรอต้อนรับพี่สะใภ้ โชคดี”)
สี่พี่น้องไม่เคยยุ่งเรื่องผู้หญิงของกันและกัน แต่ก็มั่นใจว่าพี่น้องของพวกเขาได้เลือกมาแล้วอย่างดีแน่นอน เพราะมีนิสัยหยิ่ง ปากร้าย และฉลาดเป็นกรดเหมือนกัน
“ขอบใจ และหวังว่าคงไม่มีใครโทร.มาอีก”
(“ฮา ๆ ถ้าวัลดัส รายนั้นคงไม่มีเวลาโทร.มากวน เพราะต้องหนีพวกปาปารัสซีให้วุ่น” แอนดรูว์พูดถึงวัลดัส ดอว์สัน ที่ต้องเก็บตัวเงียบเพราะไม่อยากเป็นข่าว เพราะเหตุผลอะไรนั้นมีแต่พวกเขาเท่านั้นที่รู้ดี
“อีกสองวันเจอกัน”
วิลเลียมพูดขึ้นขณะเห็นรถยนต์ของตัวเองแล่นมาจอดพร้อมกับลูกน้องทั้งสองคนก้าวเท้าลงจากรถที่ยังไม่ดับเครื่อง เขาเปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้ข้าวปั้นเข้าไปนั่งด้านใน ส่วนตัวเองก้าวขึ้นไปนั่งประจำเบาะคนขับแทน ข้าวปั้นหันมามอง
“บอกที่อยู่มา” วิลเลียมแกล้งถามที่อยู่ของข้าวปั้นเสียงเรียบพร้อมกับเคลื่อนรถออกไปอย่างเชื่องช้า เพราะเขารู้ดีอยู่แล้วว่าอยู่ตรงไหน
“เอ่อ...ฉันว่า” ข้าวปั้นเตรียมจะพูดปฏิเสธ แต่อยู่ ๆ รถก็เบี่ยงเข้าข้างทางทันที วิลเลียมปลดเบลต์ออกแล้วโน้มตัวเข้ามาใกล้
“อยากนอนในรถหรืออยากกลับไปนอนบ้าน แต่ถ้าเลือกอย่างหลังคุณโดนผมงาบบนรถนี่แหละ” คำพูดสุดห่ามเรียกจุดแดง ๆ บนแก้มนุ่มได้ทันที ข้าวปั้นรีบบอกที่อยู่ของตัวเองให้อีกฝ่ายทราบ เพราะผู้ชายคนนี้พูดจริงทำจริง จนเธอแทบไม่อยากจะท้าทายอะไรเลยด้วยซ้ำ
“อยู่...”
“บอกมาตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง” วิลเลียมพูดขึ้นก่อนจะเอื้อมมือไปคาดเบลต์ให้ข้าวปั้น สีหน้าตื่น ๆ ของอีกฝ่ายมันทำให้วิลเลียมสนุกที่ได้แกล้งเธอเล่น ก่อนจะขับรถไปยังที่หมาย
รถยนต์สีดำคันหรูแล่นมาจอดตรงด้านหน้าบ้านหลังไม่ใหญ่มากของข้าวปั้นที่มีเพียงแสงไฟด้านหน้าซึ่งตั้งเวลาให้เปิดและปิดเอาไว้ แต่ข้างในตัวบ้านยังมืดสนิทข้าวปั้นพูดขอบคุณเบา ๆ แล้วเตรียมตัวลงจากรถ แต่ถูกวิลเลียมดึงแขนเอาไว้
“เปิดประตูบ้าน”
ข้าวปั้นไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเปิดประตูบ้านให้ เพราะเขามาส่งแล้วก็น่าจะกลับเลย ด้วยตอนนี้มันเริ่มดึกแล้ว อีกทั้งการขับรถช้าของวิลเลียมก็ทำให้เธอแทบหลับคารถหลังจากกินอิ่มมาหมาด ๆ
“ผมหิวน้ำ” วิลเลียมพูดเสร็จก็ปล่อยมือแล้วพยักหน้าให้ลงไปเปิดประตูรั้วบ้าน ข้าวปั้นยอมทำตามเพราะคิดว่าเขาหิวน้ำจริง ๆ แต่ว่าทำไมต้องนำรถเข้ามาในบ้านด้วย เธอไม่เข้าใจเลยสักนิด
วิลเลียมขับรถเข้าไปจอดด้านในพร้อมกดล็อกรถเสร็จสรรพ เดินผิวปากเข้าบ้านราวกับตัวเองเป็นเจ้าของ ก่อนจะเร่งข้าวปั้นที่กำลังล้วงหากุญแจบ้านจากกระเป๋าเพื่อเปิดประตูและเปิดสวิตช์ไฟ ร่างบางเดินหายเข้าไปในห้องครัวครู่เดียวก็เดินออกมาพร้อมกับน้ำเย็นหนึ่งแก้ววางลงตรงหน้า ยืนรอให้
วิลเลียมยกขึ้นดื่มแล้วกลับไป เธอจะได้ปิดบ้านแล้วเข้านอนเสียที
“หน้าผมมีอะไร หรือเปลี่ยนใจอยากขึ้นเตียงกับผมแล้ว” วิลเลียมเอนกายลงพิงพนักโซฟาท่าทางสบายใจราวกับไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ผิดกับข้าวปั้นที่ง่วงเต็มที อยากอาบน้ำแล้วเข้านอน ต้องพูดอ้อม ๆ
“ก็คุณบอกว่าหิวน้ำ”
“แล้วไง?” วิลเลียมยังถามต่อทั้งที่รู้ว่าเธอหมายความว่าอย่างไร แต่มีหรือคนอย่างวิลเลียม ดอว์สัน จะยอมให้ใครไล่ได้ง่าย ๆ
