บทที่ 11 EP 02 การกลับมา [3]
[ริโกะ]
“ว่ะ ว่าไงโทโมะ”
[คือเขาบอกฉันว่า...]
“แค่นี้ก่อนนะโทโมะ ฉัน...”
[แม่เธอป่วยเป็นมะเร็ง]
เดิมทีฉันก็ตั้งใจจะพูดแทรกโทโมะเพราะอยู่ๆ ฉันก็รู้สึกไม่อยากฟังเหตุผลขึ้นมา ฉันไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าถูกโทโมะพูดแทรกกลับมาอีกรอบ และทุกคำที่เขาพูดออกมาก็ชัดเจนมากจนยากจะปฏิเสธว่าฉันได้ยิน
หัวใจกระตุกวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ร่างกายชาดิกจนแทบขยับไม่ได้ ลำคอแห้งผาก มือไม้เย็นเฉียบ ทุกอย่างเกิดขึ้นฉับพลันที่ได้ยินคำบอกเล่าของโทโมะ
[ฮัลโหล ริโกะ ได้ยินมั้ยริโกะ]
ตื้ดดด~
ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าไม่น่าจะใช่เรื่องดี แต่ก็ไม่รู้ทำไมฉันถึงได้ยังอยากจะรู้ ขนาดว่ากดวางสายไปแล้ว หัวใจของฉันก็ยังคงเต้นเร็วอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าจะพยายามจะสั่งให้มันเต้นช้าลงเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถทำได้เลย
ตึก!
ตึก!!
ตึก!!!
ฉันก้าวถอยหลังกลับเข้ามาในตรอกที่ยืนอยู่ เพราะรู้ว่ามันสามารถพาฉันทะลุไปที่ถนนอีกฟากหนึ่งได้ จากที่ก้าวถอยออกช้าๆ ก็เริ่มเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แล้วกลายเป็นหันหลังให้ทุกอย่างแล้วรีบวิ่งออกมาให้เร็วที่สุด
ตุ้บ!
“ขอโทษค่ะ” ฉันร้องบอกเพราะวิ่งชนเข้ากับป้าคนหนึ่งที่เดินสวนมาพอดี แต่ไม่ได้หยุดเพื่อช่วยป้าคนนั้นเก็บของด้วยซ้ำ
ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่นะ ฉันน่าจะไปโรงเรียนและทำตัวตามปกตินี่นา พวกเขาขายฉันแล้ว ไม่ต้องการฉันอีกแล้ว ระหว่างเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ใครจะเป็นยังไงจะเจ็บป่วยหรือล้มตายลงไป ก็ไม่เกี่ยวข้องกันแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมต้องมาบอก ทำไมต้องให้ฉันรับรู้ด้วย!
ตุ้บ!
“โอ๊ย!”
ฉันร้องเสียงดังเมื่อสะดุดก้อนหินจนล้มลงหัวเข่ากระแทกกับพื้น อาการปวดตุบๆ ทำให้ฉันต้องทิ้งตัวนั่งลงไปกับพื้นพลางจับที่หัวเข้าข้างซ้ายของตัวเองเอาไว้แน่น
“ใช่เธอจริงๆ ด้วย”
“โทโมะ”
ฉันไม่คิดเลยว่าเขาจะตามมา
โทโมะเดินมานั่งลงตรงหน้าฉันพร้อมกับก้มหน้าลงมองบาดแผลที่หัวเข่าของฉัน ที่ฉันยังพยายามจะบีบมันเอาไว้แน่นเพราะรู้สึกปวดจนอยากจะร้องไห้
“นายตามฉันมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ฉันเห็นเธอตั้งแต่แรกแล้วริโกะ” โทโมะพูดพลางค่อยๆ แกะมือของฉันออกจากหัวเข่า แต่ว่าฉันก็ยังไม่ยอมปล่อยอยู่ดี
“ปล่อยมือสิ ฉันจะดูแผลให้”
“ฉันไม่เป็นไร” ฉันพยายามบอกอย่างเข้มแข็ง เพราะแต่ไหนแต่ไรมาฉันไม่เคยอ่อนแอให้ใครเห็นอยู่แล้ว
ฉันไม่ชอบความอ่อนแอ ฉันเกลียดความสงสารและเห็นใจ และที่สำคัญ ฉันไม่ชอบการร้องไห้ เกลียดเวลาที่ต้องมานั่งเสียใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งที่รู้ว่าร้องให้ตายก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขอะไรได้เลย
“ถ้าไม่เป็นไรแล้วร้องไห้ทำไม” โทโมะย้อนถาม
นั่นทำให้ฉันตกใจจนต้องรีบยกมือขึ้นมาแตะเบาๆ ที่ดวงตาทั้งสองข้างของตัวเอง ถึงได้พบว่าฉันมีน้ำตาจริงๆ แม้จะไม่ถึงกับปล่อยให้มันไหลลงมาเป็นสายก็ตาม
“แปลว่าผู้ชายคนนั้นเขาเป็นพ่อเธอจริงๆ สินะ”
“ไม่จริงสักหน่อย” ฉันรีบปฏิเสธ ก่อนจะรีบผุดลุกขึ้นยืนจนทำให้โทโมะที่นั่งอยู่ใกล้ๆ หงายหลังลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่สุดท้ายเขาก็ลุกขึ้นมายืนขวางทางฉันเอาไว้จนได้นั่นแหละ
ฉันพยายามยืนอย่างเข้มแข็งถึงแม้ว่าจะยังรู้สึกปวดหัวเข่าอยู่บ้างแต่นั่นไม่มากเท่ากับความเจ็บปวดในหัวใจของฉันเลยสักนิดเดียว
“พ่อกับแม่ฉันตายไปตั้งนานแล้ว คุณโอยามะเขาช่วยฉันเอาไว้ ผู้ชายคนนั้นโกหก”
“เธอจะบอกว่าที่เธอร้องไห้นี่เพราะเจ็บหัวเข่างั้นเหรอ” โทโมะย้อนถาม เขาไม่ได้เสียงดังใส่ฉันด้วยซ้ำแต่ฉันกลับรู้สึกไม่ชอบใจที่เขาเซ้าซี้ไม่เข้าเรื่อง
“ก็ใช่น่ะสิ ฉันล้มลงมาแรงมากนะ เจ็บบ้างไม่ได้รึไง”
ปกติแล้วการพูดว่าเจ็บหรือแสดงว่าตัวเองอ่อนแอ ไม่ใช่สิ่งที่ฉันคิดจะทำเลย แต่ตั้งแต่เจอผู้ชายคนนั้น ฉันก็กลายเป็นคนที่กำลังทำทุกอย่างที่เคยคิดว่าจะไม่ทำ
“แล้วเรื่องที่เธอวิ่งหนีมาล่ะ”
“ฉันก็แค่...”
“ช่างเถอะ ฉันไม่ยุ่งเรื่องของเธอก็ได้ แต่ตอนนี้หัวเข่าเธอมีแผล เลือดไหลแล้วด้วย ฉันว่าเรารีบหาที่นั่งกันดีกว่า” โทโมะพูดเร็วๆ เหมือนกลัวว่าฉันจะไม่ฟังที่เขาพูด ซึ่งต่อให้ฉันจะไม่อยากฟังและอยากไล่เขาไปไกลๆ แต่เขาพูดมาจนจบขนาดนี้แล้ว แถมยังไม่ได้มีท่าทีว่าจะโกรธที่ฉันพาลใส่เขาเลยสักนิด แล้วฉันจะทำอะไรได้ล่ะ
“ตามมาสิ หอฉันอยู่ใกล้ๆ นี่เอง”
“หอนาย!”
