บทที่ 4 ตระกูลมู่ 3
ทว่าแม้โฉมหน้าจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนแต่กลิ่นอายเดิมยังคงอยู่ และนี่เป็นเรื่องแปลกอีกเรื่องที่เขาสามารถรับรู้และแยกแยะคนได้จากกลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่าง ถึงเจ้าตัวจะหลบซ่อนที่ไหนแต่กลิ่นอายกลับไม่ได้หลบหลีกหนีตามไปได้
มู่เหรินหมุนกายหันหลังออกเดินจากจวนมู่เมื่อถึงเวลาอันสมควร เพราะมองนานไปกว่านี้ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น และยังจะทำให้ตนเองยึดติดกับบ้านมากเกินไป
ร่างโปร่งบางในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มกับห่อผ้าสีเดียวกันสะพายไหล่เดินจากไป ด้านหลังเป็นกระบี่เฉิงหยิ่งซึ่งแปลว่าเงา ความจริงกระบี่เล่มนี้เขาออกแบบให้เหมือนในหนังสือเลี่ยจื่อซึ่งเป็นหนังสือสมัยจั้นกั๋ว เห็นว่ามันงดงามและเหมาะกับมือเขาพอดี
มู่เหรินใช้เวลาครึ่งคืนก็มานั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมนอกเมืองหลวงแคว้นฉี ผู้คนครึกครื้นเพราะเป็นทางผ่านของพ่อค้าและชาวยุทธที่ต้องการมาท่องเที่ยว ทว่ายามนี้กลับทำให้เขาหน้าแดงก่ำกับข่าวลือที่ดังกระส่อนในตอนนี้
“จริงๆ ข่าวนี้ข้าได้ยินมากจากสำนักพิราบขาวรับรองไม่มีพลาด”
“จะเป็นจริงได้เช่นไรคุณชายสี่ของแม่ทัพมู่ซู่เหลียนนั้นฉลาดหลักแหลมไม่ทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้หรอก”
มู่เหรินกลืนน้ำชาลงคออย่างยากลำบาก ข่าวลือที่กำลังพูดคุยกันอยู่นี้ล้วนเกี่ยวกับเขา แม้จะไม่ค่อยมีคนรู้จักคุณชายสี่แห่งตระกูลมาแต่เรื่องแบบนี้ท่านพ่อไยถึงกล้าเอามาเป็นโทษทัณฑ์ขับไล่เขาได้ แค่คิดก็อยากเอาหน้ามุดลงใต้โต๊ะแล้ว
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณชายสี่จะเป็นบุรุษที่ชมชอบตัดแขนเสื้อมิหนำซ้ำยังหนีตามกันไปจนทำให้แม่ทัพเดือดดาลขับไล่ออกตระกูลมู่ หมดกันความรู้สึกเลื่อมใสของข้า คิดว่าจะฉลาดหลักแหลมแต่กลับทำเรื่องน่าอายเช่นนี้”
ชายร่างผอมนั่งฝั่งตรงข้ามกับมู่เหรินกล่าวอย่างเดือดฉันท์และเสียความรู้สึก
มู่เหรินรีบวางเบี้ยค่าอาหารมื้อเช้า ก่อนจะหลบตาผู้คนออกจากโรงเตี๊ยมกลัวว่าจะมีผู้คนจำตนได้
“ท่านพ่อทำข้าได้เจ็บแสบนัก”
มู่เหรินสบถออกมาอย่างหงุดหงิดหัวเสียขณะเดินผ่านตลาด ก่อนจะตัดสินใจซื้อหมวกปีกสานใบใหญ่ที่ปกปิดใบหน้ามาสวมโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
ใบหน้าที่เคยเรียบนิ่งกลับขมวดมุ่นอย่างครุ่นคิด จากเรื่องคุณชายสี่ตระกูลมู่ผู้ฉลาดล้ำดั่งสายธารแห่งปัญญากลับถูกกลบข่าวลือหนีตามบุรุษได้เพียงชั่วข้ามคืน น่านับถือคนออกข่าวลือจริงๆ
!
“หลิงหวางออกมา”
เมื่อออกมาพ้นเมืองจึงร้องเรียกเงาที่ตามเงียบๆ เสียงนิ่งเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ เงาร่างนั้นลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยอมออกมาก้มหน้าคุกเข่าเบื้องหน้า
“เจ้ารู้ว่าท่านพ่อจะทำเช่นนี้หรือไม่”
“ไม่ขอรับ”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มตอบกลับมา มู่เหรินเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจอาจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เงาร่างนี้ยอมคุยกับเขา จำได้ว่าหลิงหวางมาติดตามเขาเมื่อห้าปีก่อนตอนนั้นเขาอายุได้สิบเอ็ดขวบปี คำตอบที่ได้รับไม่เกินจากที่คิดไว้ก่อนจะยื่นหมั่นโถวห้าลูกให้
“กินก่อนต่อไปนี้ไม่ต้องแอบตามแล้วเพราะยังไงข้าก็รู้อยู่ดีว่าเจ้าอยู่ตรงไหน”
“ขออภัยขอรับ ข้ามิอาจทำได้” มู่เหรินมองคนปฏิเสธแล้วส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ขึ้นชื่อว่าเงาหากออกมาแล้วไซร้จะกลายเป็นเงาได้อย่างไร
“ไม่เหงาหรือ ไม่ได้คุยกับใครและต่อไปนี้เจ้าจะไม่มีพี่น้องเหมือนในจวนมู่อีกแล้วนะ”
“ไม่ขอรับ” น้ำเสียงหนักแน่นตอบกลับมาไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
“ไหนๆ ท่านพ่อก็ออกข่าวลือว่าข้าหนีตามบุรุษมาแล้ว เจ้าก็มาเป็นบุรุษผู้นั้นแล้วกัน”
มู่เหรินกล่าวเสียงเรียบ แต่คนรับคำสั่งมีสีหน้าอึกอักเล็กน้อยใบหน้าแดงซ่านอย่างอับอาย เขายกยิ้มบางอย่างพึงใจเรื่องอะไรเขาจะอับอายขายหน้าเพียงคนเดียวอย่างน้อยก็หาแพะ? มารับกรรมเป็นเพื่อน
หลังจากบังคับขู่เข็ญหลิงหวางออกจากเงา ตอนนี้เจ้าตัวอยู่ในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มไม่ต่างจากตน บนหัวมีหมวกปีกสานใบใหญ่ปกปิดใบหน้าอย่างมิดชิดทั้งๆ ที่หน้าตาออกจะธรรมดา
ท่าทางจะไม่ชอบให้ใครมองหน้าจริงๆ ไม่สิ นี่แค่เป็นหน้าหลอกๆ ของเจ้าตัวมากกว่า แต่เรื่องนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจเพราะอย่างไรเขาก็จดจำคนผู้นี้จากกลิ่นอายรอบตัว
มู่เหรินมองแผนที่ในมือเพื่อมุ่งหน้าไปยังหุบเขาปีศาจตามคำแนะนำของบิดา แต่ต้องนิ่วหน้าเพราะแผนที่มิได้บ่งบอกว่าหุบเขาปีศาจอยู่ที่ใดเพราะในประวัติศาสตร์สมัยจั้นกั๋วก็ไม่ได้เล่าเกี่ยวกับหุบเขาปีศาจอีกด้วย เมื่อเงยหน้ามองเพื่อนร่วมเดินทางก็ต้องเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ การที่ให้ออกมาจากเงาทำให้ชีวิตมืดมนขนาดนั้นเชียวหรือ
“อีกหน่อยเดี๋ยวก็ชินเอง”
เอ่ยบอกเสียงเรียบ ก่อนจะก้มมองหาจุดสำคัญหากเดาไม่ผิดไม่อยู่แคว้นฉีก็ต้องอยู่แคว้นฉิน แต่ว่ามันอยู่ระหว่างเหนือกับใต้ที่ห่างกันไกลมากเพราะเช่นนี้ในประวัติศาสตร์ในจีนแคว้นฉินถึงไม่มาโจมตีแคว้นฉี
“เจ้ารู้จักหุบเขาปีศาจหรือไม่”
ในเมื่อไม่รู้จึงเอ่ยถามคนข้างกายที่ยืนนิ่งๆ หลิงหวางเงยหน้ามามองเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบ
“หุบเขาปีศาจอยู่หุบเขาสูงลึก รายล้อมด้วยป่าดงดิบแทบจะหาผู้คนมิได้ขอรับ”
คำตอบที่ได้รับทำให้มู่เหรินหรี่ตามองหลิงหวาง รู้ว่าเขาฉลาดหลักแหลมแต่ช่วยรู้หน่อยเถอะว่าโจทย์แค่นี้เขาไม่รู้หรอก อีกอย่างนี่เป็นครั้งแรกที่ออกจากบ้านเชียวนะ
“เจ้าติดตามข้ามาห้าปีไม่รู้หรือว่านี่เป็นการออกจากบ้านครั้งแรกของข้า”
“ขออภัยขอรับ ข้าเองก็เพิ่งเคยออกมาพร้อมกับท่านขอรับ”
คำตอบเรียบนิ่งของคนตรงหน้าทำให้มู่เหรินอึ้งไปเล็กน้อย คนอย่างนี้เรียกว่ากวนเบื้องล่างด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเอาจนเขาพูดไม่ออก ได้แต่คิดทบทวนตำราในสมองไปมา
