บทที่ 9 เชฟ 4
พอเช้าของอีกวัน ม่านอวี้อันก็สั่งเยว่จือให้ไปตามอาถัง บอกว่าจะขายผิงกั่วกับเซียงเจียวใช้หนี้ ตอนนั้นเยว่จือร้องไห้หนักจนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ทั้งก้มกราบก็แล้ว แต่ม่านอวี้อันไม่สนใจ บอกคำเดียวว่าหากไม่ขายลูกกินเธอจะฆ่าตัวตาย พร้อมเด็ก ๆ พวกนี้เสีย
“หลายวันก่อน มาดามป่วยและเพ้อเหมือนคนบ้า! สุดท้ายก็นอนสลบ ไม่พูดไม่จา หนูกลัวจนนอนไม่หลับ และคิดจะพาผิงเกอกับเจียวเกอหนีออกจากบ้านหลังนี้ หนูไม่ยอมให้พวกเขาถูกแก๊งมังกรซิ่งเอาตัวไป ผิงเกอเป็นเด็กดี หัวอ่อน ส่วนเจียวเกอ... ถึงจะพูดมากไปหน่อย แต่เขาน่ารักที่สุด!”
เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดม่านอวี้อันจึงยกมือขึ้นปิดปาก เธอกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ อย่างไรก็จะไม่อ่อนแอ จากสิ่งที่เยว่จือกล่าว แสดงว่าเธอย่อมเคยมาโลกนี้มาก่อน แล้วยังแผลงฤทธิ์จนเกือบทำให้ทุกคนต้องจบชีวิต สาเหตุเป็นเพราะความแค้นต่อชายโฉดหญิงชั่ว หนำซ้ำเธอยังเกือบเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้ผู้อื่นรู้ ซึ่งสิ่งนั้นได้ส่งผลร้ายแรงตามมา
“โอ้ ฉันเกือบทำเรื่องผิดมหันต์ นับเป็นบาปครั้งใหญ่ เอาละ ตั้งแต่นี้ไปจะมีแต่ม่านอวี้อัน... หญิงหม้ายที่ถูกผู้ชายชั่วฟันแล้วทิ้ง เธอมีลูกฝาแฝดแสนน่ารัก และน้องสาว... ที่แสนดี... เยว่จือ”
ถึงม่านอวี้อันจะกล่าวเหมือนคนเพ้อ แต่เยว่จือตื้นตันใจยิ่งนักที่เธอได้เป็นน้องสาวของคุณผู้หญิง!
นั่นคือสิ่งที่เด็กสาวเคยฝันถึงตลอดมา นับแต่บิดาและมารดาอีกฝ่ายรับอุปการะเธอไว้
ต่อจากนั้น ม่านอวี้อันถูกเสียงของลี่ฮุ่ยที่ร้องโวยวายดึงกลับสู่โลกในยุค 80s
“ฮึ ตายแล้ว กล้านัก หน้าด้านที่สุด เธอขโมยสูตรอาหารของป้าใช่ไหม อาข่ายนะอาข่าย ทำไมทำตัวเหลวไหลแบบนี้ อยากให้แม่อกแตกตายหรือไง เฮ้อ เอาสมุดบันทึกของแม่มาให้คุณนายคนสวยอ่านอย่างนี้ไง มันถึงทำเค้กกล้วยหอมสูตรลับที่ฉันคิดขึ้นมาได้อย่างยากลำบาก!”
“เอ๋ ป้าลี่เขาพูดถึงเรื่องอะไรคะมาดาม”
เยว่จือถาม สีหน้าของเด็กสาวเต็มไปด้วยความฉงนและยุ่งยากใจ
ภายในห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ มีชั้นหนังสือสูง ๆ อยู่มุมหนึ่ง กลางห้องเป็นโต๊ะพับลายตัวอักษรและตัวเลข พร้อมสมุดวาดรูป ดินสอสี และของเล่นอีกหลายอย่างที่ถูกเด็กทั้งสองคนรื้อออกมาเล่น และไม่ทันได้เก็บ
นานแล้วที่แม่บอกให้รออยู่ที่นี่ ซึ่งผิงกั่วได้แต่ยืนแข็งเป็นหุ่นยนต์ขวางอยู่หน้าประตู เพราะน้องชายกำลังจะก่อเรื่อง เซียงเจียวหน้าหงิกหน้างอเมื่อเห็นพี่ชายเฝ้าประตูอยู่อย่างนั้น
“น้องเป็นผีดูดเลือด จะกัดแล้วนะ แฮร่ ๆ ถอยไปเฮียผิง”
ผิงกั่วยืนนิ่ง คำสั่งแม่บอกไว้ชัดเจนว่าไม่ให้ใครออกจากห้องนี้ หากแม่ไม่มาเรียก เขาเชื่ออย่างนั้น และจะทำตามโดยไม่บิดพลิ้ว ด้วยก่อนหน้านี้ยังจำได้ว่าเวลาแม่โมโหทำให้เขากลัว อีกอย่างตอนที่แม่โมโหมาก ๆ แล้วสลบไปนั้น ใจเขาแทบจะแหลกสลาย เขาเสียใจ เป็นทุกข์ ไม่อยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก!
“เฮียผิง ถอย!” เซียงเจียวว่าเสียงสูง ๆ ซึ่งอีกไม่นานหากยังถูกขัดใจอยู่แบบนี้เขาจะร้องให้ลั่นบ้านเลย
“นั่ง” ผิงกั่วออกคำสั่ง
“ไม่... น้องจะออกไปข้างนอก เฮียผิงเห็นเค้กนั่นไหม มัมมี้ทำสวย มันน่ากิน หอมด้วย เราไปกินกันเถอะ รับรองไม่มีใครรู้ อิ ๆ ๆ”
น้องชายบอกพร้อมกับทำตาเล็กตาน้อย คำเชิญชวนนั้นทำให้ผิงกั่วแอบกลืนน้ำลาย เขาหิวจนไม่อยากทำอะไรแล้ว เมื่อเช้ากินขนมปังไปนิดหน่อย เพราะเซียงเจียวกินยังไงก็ไม่อิ่มเขาเลยต้องแบ่งให้มากหน่อย ส่วนเขาอยากกินนมในตู้เย็น แต่เยว่จือบอกว่าแม่ไม่อนุญาต อีกทั้งก่อนหน้านี้เขาต้องอยู่เฝ้าแม่หลายชั่วโมง เพราะกลัวแม่จะหลับยาวไม่ลุกขึ้นมาอีก กระทั่งแม่ลืมตาตื่นขึ้นมาและกอดเขาไว้แน่น ๆ ผิงกั่วก็รู้ว่าแม่รักเขา และฟังคำอธิษฐานของเขาที่อยากให้แม่ตื่นขึ้นอีกครั้ง และกลับมาอยู่ด้วยกัน เป็นครอบครัวแสนอบอุ่นอย่างที่ป้าลี่เคยสอนไว้
“มัม ๆ ให้เจียวเกอรออยู่ที่นี่”
“แต่น้องหิวนี่นา อยากกินไข่เหลืองนุ่ม มันบด แล้วก็เค้กกล้วย เฮียผิงไม่หิวก็อยู่ที่นี่คนเดียวสิ น้องจะไปฟาดให้เกลี้ยงเลย” เอ่ยจบเขาก็ไม่คิดจะออกไปทางประตู ด้วยเขาเคยใช้เก้าอี้ปีนขึ้นไปเปิดหน้าต่างในห้องนั่งเล่นได้ เรื่องกล้วย ๆ แค่นี้ เขาถนัดที่สุด
“ทำไร”
“น้องเป็นนินจา!”
เซียงเจียวเอ่ย เขาว่องไว เลื่อนเก้าอี้ได้ก็ปีนขึ้นไปเกาะขอบวงกบหน้าต่าง จากนั้นจึงคลายกลอนออกด้วยมือเล็ก ๆ เขาออกแรงอยู่หลายหน กระทั่งบานหน้าต่างแง้มเปิด เขาก็เตรียมจะกระโดดลงไปยังพื้นข้างนอกบ้าน แต่เด็กน้อยกลับต้องหวีดร้องลั่นด้วยความตกใจ
“แว้ก ผะ ผะ ผี!”
เงาของบางสิ่งโผล่มาขวางเขา มันเป็นเงาร่างสูงใหญ่ ผิงกั่วที่อยู่ข้างหลังน้องชายเองก็ตกใจอยู่เหมือนกัน แต่เขาเป็นคนกล้าหาญอย่างที่สุด จึงคว้าดาบไม้ของเล่น ตั้งใจช่วยน้องชายจากผีร้าย
ทว่าไม่ทันได้ทำสิ่งใด เซียงเจียวกลับหัวเราะร่วน
“ผะ ผี... กู๋กุ่ยมาแล้ว!”
เซียงเจียวหัวเราะเอิ้กอ้าก เขาคิดถึงลุงผีมาหลายวัน ในที่สุดอีกฝ่ายก็โผล่มา และเล่นผีหลอกด้วย
“ให้น้องจุ๊บไหมลุงผี”
เด็กชายว่าแล้วก็อ้อนเขาอย่างหนัก
“ลุงตัวเหม็น...”
