บทที่ 09
เอไลจาห์ วอห์น
ทั้งสามคนแข็งทื่อไปชั่วขณะ เวลาพลันหยุดนิ่ง แล้วราวกับถูกกระแสไฟฟ้าช็อต พวกเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวทันควัน สองคนกระโจนเข้าใส่กัน กำปั้นสั่นเทาและเงอะงะ ส่วนคนที่สาม—เด็กหนุ่มร่างผอม—ถอยหลังกรูดด้วยความหวาดผวา
หมัดที่ปล่อยออกไปนั้นสะเปะสะปะและสิ้นหวัง ชายร่างใหญ่กว่าต่อยเข้าที่ใบหน้าของคู่ต่อสู้ ส่งผลให้อีกฝ่ายเซถอยหลัง เลือดสาดกระเซ็นออกจากปาก ฝูงชนโห่ร้องกึกก้อง เสียงเชียร์ดังผสมปนเปไปกับเสียงทื่อๆ และโหดเหี้ยมของกำปั้นที่กระทบเนื้อ
เด็กหนุ่มลังเล ดวงตาสอดส่ายอย่างลนลานหาทางหนี จนกระทั่งเสียงปืนนัดที่สองดังลั่นขึ้น ร่างของเขาสะดุ้งเฮือก เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เขาก็วิ่งเข้าใส่ชายสองคนที่กำลังต่อสู้กัน
ความกลัวฉายชัดอยู่บนใบหน้าของพวกเขา พวกเขาไม่ได้สู้เพื่อเกียรติยศ แต่สู้เพราะไม่มีทางเลือก
ชายที่แข็งแกร่งที่สุดคว้าคอของคนที่อ่อนแอกว่าแล้วบีบอย่างแรง ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยความเดือดดาลอย่างบ้าคลั่ง
นักโทษร่างเล็กกว่าทั้งเตะทั้งข่วนพยายามดิ้นให้หลุด แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ช้าลงทุกวินาที เสียงสำลักอากาศผสมปนเปกับเสียงเชียร์อย่างลิงโลดของฝูงชน “ฆ่ามัน!” “จัดการมันซะที!”
ภาพตรงหน้าผมพร่าเลือน ท้องไส้ปั่นป่วนอย่างรุนแรง
เมื่อเห็นช่องโหว่ เด็กหนุ่มร่างผอมก็กระโจนเข้าใส่ชายร่างยักษ์ ฝังคมเขี้ยวลงบนหัวไหล่ของเขา เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดถูกเสียงโห่ร้องกลบจนมิด แต่ผู้ที่ถูกทำร้ายก็ไม่เสียเวลาโต้ตอบ เขาผลักอย่างแรงจนเด็กหนุ่มกระเด็นไปไกล เลือดเปรอะเปื้อนหัวไหล่ของเขา
ฝูงชนพากันคลุ้มคลั่ง
ชายที่กำลังสำลักล้มลงไปกองกับพื้น ไอโขลกไม่หยุด แต่ความโล่งใจนั้นอยู่ได้ไม่นาน เด็กหนุ่มไม่ยอมหยุด ดวงตาเบิกกว้าง ร่างกายถูกครอบงำด้วยความตื่นตระหนก เขากระโจนเข้าใส่และเริ่มรัวหมัดใส่ไม่ยั้ง เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นปูน กำปั้นของเขายกขึ้นลงครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดที่มืดบอด
ชายร่างยักษ์ที่ตอนนี้ตั้งตัวได้แล้ว เตะเด็กหนุ่มจนกระเด็นกลิ้งออกไป
ตอนนี้เหลือเพียงสองคน
คนที่ตัวเล็กกว่าพยายามถอยหนี ดวงตาสอดส่ายหาทางออกที่ไม่มีอยู่จริง คู่ต่อสู้ของเขาไร้ความปรานี เตะเข้าที่ศีรษะอย่างเต็มแรง
เสียงดังกร๊อบสะท้อนก้อง
เด็กหนุ่มแน่นิ่งไป
และทั้งลานก็ระเบิดเสียงเฉลิมฉลอง
ผู้ชนะชูแขนขึ้น หอบหายใจฮัก ใบหน้าของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและเหงื่อ ผู้คุมคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้า สีหน้าพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด
ผมหายใจไม่ออก ดวงตาจับจ้องภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ ผมเพิ่งได้เห็นการฆาตกรรม—และไม่มีใครสนใจเลย นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่ยุติธรรม
มันคือการสังหารหมู่
ความเย็นเยียบแล่นวาบไปทั่วสันหลัง
หัวใจผมเต้นรัวราวกับจะทะลุออกมาจากอก
ฟ็อกซ์สังเกตเห็นความทุกข์ของผม เขามองมาด้วยสีหน้าว่างเปล่า
นิ้วมือของผมจิกเข้าที่หัวเข่า พยายามหยุดอาการสั่น
ผมไม่ควรมาอยู่ที่นี่
แล้วผมก็รู้สึกถึงมัน
การมีอยู่ของบางสิ่ง—ที่หนักอึ้งและน่าอึดอัด
ผมค่อยๆ หันศีรษะไป และร่างกายก็แข็งทื่อ
ยมทูตกำลังมองผมอยู่
แม้ระยะห่างระหว่างเราจะไกล แต่สายตาอันมืดมิดของเขากลับมองทะลุผ่านตัวผมไปจนถึงจิตวิญญาณ
โลกทั้งใบหายไป
เสียงจอแจของนักโทษเลือนหายไป
หัวใจผมแทบหยุดเต้นเมื่อรอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา ผมสะท้านเมื่อเขาลุกขึ้นยืน
ทั้งลานพลันเงียบสงัด
ไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบ
อากาศข้นหนืดขึ้นจนน่าหายใจไม่ออก
ลมหายใจของผมเริ่มติดขัด
โดยไม่รู้ตัว ผมคว้ามือของฟ็อกซ์ไว้ นิ้วจิกลงไปในผิวของเขา ยมทูตเดินตรงมาทางผม—ด้วยฝีเท้าที่เชื่องช้าและมั่นคง โดยไม่ละสายตาไปไหน
เมื่อเขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผมในที่สุด น้ำเสียงของเขาก็เย็นชาและไร้ความปรานี
“ในเมื่อการต่อสู้จบแล้ว... เราไปกันได้แล้วล่ะ เจ้ากระต่ายน้อย”
ความกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่างเหมือนยาพิษ
ไป? ไปไหน? เขาหมายความว่ายังไง?
จิตใจผมกรีดร้องให้วิ่งหนี แต่ขากลับไม่ขยับ
ผมมองไปที่ฟ็อกซ์เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เขากลับส่ายหน้า
ลมหายใจผมสะดุดเมื่อยมทูตคว้ามือผมแล้วกระชากอย่างแรง ผมเสียการทรงตัวและเกือบล้มลง แต่ก่อนที่ร่างจะกระแทกพื้น เขาก็จับตัวผมไว้ได้อย่างมั่นคง
ลมหายใจอุ่นๆ ของเขารินรดข้างหูขณะที่เขาพึมพำ
“ข้ารอมานานพอแล้ว ความอดทนของข้าหมดลงแล้ว”
หัวใจผมเต้นแรงเสียจนคิดว่ามันจะระเบิดออกมา
สมองพยายามทำความเข้าใจเรื่องทั้งหมด แต่ผมไม่มีแม้แต่เวลาจะทันได้ตั้งตัว ในชั่วพริบตา ยมทูตก็ยกตัวผมขึ้นพาดบ่าราวกับผมไม่มีน้ำหนัก ลมหายใจถูกรีดออกจากปอด
ความตื่นตระหนกพลันระเบิดขึ้นในใจผม
สายตาผมมองหาฟ็อกซ์ อ้อนวอนขอความช่วยเหลืออย่างเงียบงัน
เขาเพียงแค่มองผม และก่อนที่เราจะออกจากลานไป ผมเห็นริมฝีปากเขาขยับเป็นคำว่า
“โชคดีนะ เด็กใหม่”
ความอยากร้องไห้ถาโถมเข้ามา
ความอัปยศอดสูแผดเผาผิวหนังขณะที่เหล่านักโทษหัวเราะและกระซิบกระซาบ รอยยิ้มโหดร้ายของพวกเขาเสียดแทงผมราวกับคมมีด พวกเขากำลังสนุกกับการแสดง—โดยมีผมเป็นตัวตลก
แต่ความกลัวนั้นมีน้ำหนักมากกว่าความอับอายใดๆ ขณะที่เขาอุ้มผมพาดบ่าเดินไปตามโถงทางเดินราวกับตุ๊กตาผ้าขี้ริ้ว ผมเริ่มภาวนาอย่างสิ้นหวัง วิงวอนต่อพระเจ้าให้สังหารเขา หรือด้วยปาฏิหาริย์บางอย่าง ขอให้เขาเปลี่ยนใจและปล่อยผมไป
“เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้ารอคอยช่วงเวลานี้มานานแค่ไหน เอไลจาห์” น้ำเสียงของเขาชุ่มโชกไปด้วยความพึงพอใจ
ร่างกายผมเย็นเฉียบ
เขารู้ชื่อผม
สมองผมหมุนคว้างไปด้วยความสับสน
ได้ยังไง?
ทำไม?
ฟ็อกซ์อยู่กับผมตลอดเวลา แม้แต่ในห้องครัว ไม่มีทางที่เขาจะบอกไอ้ปีศาจนี่ได้ แล้วสัตว์ประหลาดตัวนี้รู้ได้ยังไงว่าผมเป็นใคร?
ความตื่นตระหนกยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อผมตระหนักได้ว่าเขากำลังพาผมไปที่ไหน: ปีกของพวกชุดเครื่องแบบสีดำ
หัวใจผมเต้นรัวจนควบคุมไม่ได้ ทุกย่างก้าวของเขาลากผมดิ่งลึกลงไปในความหวาดกลัว โถงทางเดินดูเหมือนจะแคบลง กำแพงบีบเข้ามาขณะที่เราเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล
เมื่อเรามาถึงห้องขังห้องหนึ่ง น้ำตาก็เอ่อคลอในดวงตาของผม ความกลัวไหลอาบใบหน้าอย่างอิสระ แสบร้อนผิวหนัง ทุกส่วนในร่างกายกรีดร้องให้วิ่งหนี—แต่ไม่มีที่ไหนให้ไป
โลกหมุนคว้างเมื่อเขาโยนผมลงบนเตียง แรงกระแทกทำเอาผมจุกจนหายใจไม่ออก ความเจ็บปวดแผ่กระจายไปทั่วร่าง ผมพยายามจะขยับ แต่ก่อนที่จะได้ทันตั้งตัว ร่างที่แผ่รังสีคุกคามของเขาก็เข้ามาทาบทับอยู่เหนือผม น้ำหนักของมันบดขยี้ผม ทำให้ความหวังที่จะหนีเลือนหายไปจนหมดสิ้น
“คืนนี้เจ้าจะไม่ได้ออกจากห้องนี้ไปไหน เจ้ากระต่ายน้อยของข้า”
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ เจือไปด้วยความปรารถนาอันมืดมิดและบิดเบี้ยวที่ทำให้ท้องของผมวูบโหวง—ฉุดกระชากเศษเสี้ยวสุดท้ายของความหวังให้ดิ่งลงไปด้วย

































































































