บทที่ 08

เอไลจาห์ วอห์น

เขาตบไหล่ผมเบาๆ พยายามจะคลายความตึงเครียด แต่สายตาของเขายังคงหนักอึ้ง

“เอาล่ะ ไปที่ห้องครัวกัน งานของนายเริ่มวันนี้”

เราเดินไปตามโถงทางเดิน แต่แล้วเขาก็หยุดกะทันหัน พลางขมวดคิ้ว

“เกือบลืมเรื่องสำคัญไป ไม่ว่ายังไงก็ตาม—ห้าม—พยายามก่อจลาจลเด็ดขาด มันเคยเกิดขึ้นแล้ว... และจบลงด้วยการสังหารหมู่”

หัวใจผมเต้นรัว

“อะไรนะครับ” เสียงผมแผ่วเบากว่าที่คาดไว้

เขาถอนหายใจ ดวงตาฉายแววขมขื่น

“มันเกิดขึ้นที่ปีกขวา เท่าที่เขาว่ากัน ที่นั่นการคอร์รัปชันไม่หนักเท่าปีกซ้าย พวกนั้นพยายามลุกฮือต่อต้านผู้คุม แต่ก็ถูกฆ่าล้างบาง ศพเป็นสิบๆ ร่างเกลื่อนพื้น ไม่มีโอกาสได้สู้กลับเลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่นั้นมา สัญญาณของการลุกฮือใดๆ ก็ตามจะถูกกำจัดตั้งแต่เนิ่นๆ ถ้านายได้ยินใครกระซิบกระซาบเรื่องนี้ ให้ทำเป็นไม่ได้ยินซะ ผลลัพธ์เดียวของการก่อจลาจลในนี้คือความตาย”

ความจริงอันโหดร้ายนั้นถ่วงหนักอยู่ในอกผม ความคิดที่จะหลบหนีดูเลือนรางลงทุกที

ระหว่างทางไปห้องครัว เราเดินผ่านโรงอาหาร ท้องไส้ผมปั่นป่วน แต่ผมเลี่ยงที่จะมองไปยังจุดที่เกิดเรื่องสยองขวัญขึ้น ร่างกายผมยังคงสั่นสะท้านเมื่อนึกถึงภาพเลือด ใบมีดที่แทงทะลุกะโหลก และแววตาว่างเปล่ายามที่ชีวิตดับสูญ

ผมสูดหายใจลึกแล้วเดินต่อไป ตั้งสมาธิกับการเดินตามเขาไป

เมื่อมาถึงห้องครัว เขาพาผมไปที่ห้องเก็บของ—เป็นห้องเล็กๆ อับๆ ที่อัดแน่นไปด้วยชั้นวางวัตถุดิบล้นทะลัก กระสอบแป้ง กล่องอาหารกระป๋อง กองข้าวสาร และของใช้อื่นๆ กระจัดกระจายอย่างไม่เป็นระเบียบ

เขาเคาะชั้นวางอันหนึ่งเบาๆ

“ตรงนี้จะเป็นที่ของนาย ไอ้หน้าใหม่ อย่างที่บอกไปก่อนหน้า งานของนายคือจัดระเบียบวัตถุดิบ ตรวจสอบปริมาณ แล้วส่งให้พวกพ่อครัวเวลาที่เขาขอ เข้าใจนะ”

ผมพยักหน้าช้าๆ ความประหม่าบีบรัดในอก เขาสังเกตเห็นความลังเลของผมแล้วถอนหายใจ

“เดี๋ยวนายก็ชินเอง แค่ทำตามคำสั่งก็พอ ถ้าทำพลาดมากไป นายจะได้ลองดีกับความอดทนของคนที่ไม่มีความอดทนเหลืออยู่เลย”

ผมเริ่มทำงาน ตอนแรกก็เงอะงะ ไม่แน่ใจว่าอะไรควรไปอยู่ตรงไหน ห้องเก็บของรกมาก และผมใช้เวลาสักพักกว่าจะเข้าใจระบบการจัดของที่พวกเขาใช้

เขาช่วยผมนิดหน่อย แต่ไม่นานก็ปล่อยให้ผมจัดการด้วยตัวเอง ทีละเล็กทีละน้อย ผมก็เริ่มจับจังหวะได้ ผมจัดเรียงวัตถุดิบ ตรวจนับจำนวน และส่งมอบของที่ต้องใช้ให้ไป กว่าจะรู้ตัว เวลาก็ผ่านไปหลายชั่วโมง

“ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว” เสียงของฟ็อกซ์ดึงผมออกจากภวังค์

เขายื่นถาดอาหารให้ผม

“ไปกันเถอะ”

ผมรับถาดแล้วเดินตามเขาไปที่โต๊ะตัวหนึ่งหลังโรงอาหาร แม้จะหิวจนไส้กิ่ว แต่ความกลัวยังคงเต้นตุบๆ อยู่ใต้ผิวหนัง ผมเอาแต่ก้มหน้ามองอาหาร เลี่ยงที่จะมองใครก็ตามรอบตัว—โดยเฉพาะโต๊ะของยมทูต สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากทำคือการสบตากับเขาอีกครั้ง

ฟ็อกซ์กินเงียบๆ อยู่พักหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผม

“พอกินเสร็จ เราจะไปที่ลาน”

ผมขมวดคิ้วอย่างสับสน

“ลานเหรอครับ ไปทำไม”

เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

“คืนนี้มีการต่อสู้ เป็นความบันเทิงสำหรับนักโทษกับพวกผู้คุม”

อาหารติดคอผม

“ต่อสู้ หมายความว่ายังไงครับ”

เขายักไหล่

“ง่ายๆ พวกนั้นจะจับไอ้โง่สองคนมาสู้กันจนกว่าจะมีคนหนึ่งร่วง ถ้าไม่ยอมสู้ ผู้คุมก็จะซ้อมมันทั้งคู่ สุดท้ายก็คือฆ่าหรือโดนซ้อมปางตาย ยินดีต้อนรับสู่นรกนะ ไอ้หน้าใหม่”

ท้องไส้ผมบิดมวนด้วยความคลื่นเหียนต่อความจริงอันโหดร้าย

เขาหัวเราะเบาๆ ราวกับคุ้นชินกับมันมานานแล้ว

“ฉันก็เคยรู้สึกแบบนาย แต่พออยู่มาสองปี ก็ไม่มีอะไรทำให้ฉันแปลกใจได้อีกแล้ว”

ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ไม่รู้จะตอบอย่างไร

“แล้วคุณล่ะครับ ทำไมถึงโดนจับ” คำถามหลุดออกจากปากผมอย่างโพล่งๆ

ลำคอผมตีบตัน

“ผมถูกกล่าวหาว่าทำร้ายแฟน... แต่ผมไม่เคยทำ ผมรักผู้หญิงคนนั้น ผมทำงาน เรียน ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อจะเป็นคนรักที่ดี...”

เสียงผมสั่นเครือ

“แล้วจู่ๆ เธอก็เริ่มทำตัวแปลกไป วันที่ผมโดนจับ เธอเกาะแกะอยู่กับพี่ชายผม ไอ้เวรนั่นเกลียดผมมาตลอด—โดยไม่มีเหตุผล ผมไม่เคยเข้าใจเลย”

ดวงตาผมเบิกกว้างเมื่อตระหนักได้ว่ากำลังระบายเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง

ผมส่ายหน้าแล้วหลุบตาลง รู้สึกอึดอัดขึ้นมากะทันหัน

"ขอโทษที ไม่ได้ตั้งใจจะระบายทุกอย่างให้นายฟัง"

เขายักไหล่ ไม่ได้ใส่ใจ

"ไม่เป็นไรหรอก ดูเหมือนนายแค่อยากจะระบาย"

แล้วเขาก็เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

"เขาเกลียดนายมาตลอดเลยเหรอ"

ผมพยักหน้า

"ตั้งแต่เด็กแล้ว เขาดูถูกผมตลอดเวลาโดยไม่มีเหตุผล"

เขาจิบน้ำผลไม้แล้วหัวเราะหึออกมาเบาๆ

"เคยคิดบ้างไหมว่าสองคนนั่นวางแผนจัดฉากนาย"

ร่างกายผมแข็งทื่อ

"อะไรนะ"

"นายก็พูดเอง พี่ชายนายเกลียดนายมาตลอด แล้วแฟนนายก็เริ่มทำตัวแปลกๆ ไปเฉยเลย พอตอนนายโดนจับ เธอก็ไปคลอเคลียอยู่กับเขา การจะคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญน่ะโง่สิ้นดี พวกเขาวางแผนใส่ร้ายนาย"

อกผมบีบรัดแน่นเหมือนมีดเย็นเยียบเล่มหนึ่งทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจ ผมไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้นั้นมาก่อน... แต่มันก็สมเหตุสมผล ทุกอย่างลงล็อกพอดี

ความอยากร้องไห้ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง แต่ก่อนที่ผมจะยอมแพ้ ฟ็อกซ์ก็ลุกขึ้นยืน

"กลั้นน้ำตาไว้ซะ ได้เวลาไปที่ลานกว้างแล้ว ฉันรู้ว่ามันยาก แต่นายอยู่ในที่ที่เลวร้ายกว่านี้เยอะ ถ้าอยากจะรอด นายต้องเข้มแข็งขึ้น ไปได้แล้ว"

ผมหลับตาแล้วสูดหายใจลึก กลั้นความตื่นตระหนกที่กำลังกัดกินอยู่ข้างใน การมัวมานั่งสมเพชตัวเองไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น

ผมรีบยัดอาหารที่เหลือลงท้องอย่างรวดเร็ว เอาถาดไปเก็บในครัว แล้วเดินตามเขาไป

เขาพูดถูก

ถ้าผมอยากจะรอด ผมต้องเข้มแข็ง

เมื่อเราไปถึงลานกว้าง ฝูงชนก็มารวมตัวกันบนอัฒจันทร์แล้ว ส่งเสียงจอแจอย่างตื่นเต้น ท้องผมบิดมวนเมื่อเห็นสีหน้าที่เปี่ยมสุขบนใบหน้าของพวกเขา

ทำไมถึงมีคนตื่นเต้นยินดีกับเรื่องโหดร้ายแบบนี้ได้

เขาดึงผมไปยังอัฒจันทร์

ผมนั่งลงข้างเขาบนพื้นคอนกรีตหยาบๆ ที่ยังสร้างไม่เสร็จซึ่งล้อมรอบลานกว้าง

ร่างกายผมแข็งเกร็ง มือก็ชื้นเหงื่อ

เขายังคงเงียบงัน ดวงตาจับจ้องไปที่ลานกว้าง ใบหน้าเรียบเฉยจนอ่านไม่ออก ผมรู้สึกแปลกแยกอย่างสิ้นเชิง ราวกับคนแคระท่ามกลางทะเลอาชญากรที่อยู่รอบตัวเรา พวกเขากำลังโห่ร้องและพูดคุยกันราวกับกำลังจะได้ชมการแสดงสุดตระการตา

ทันใดนั้น นักโทษสามคนในชุดสีขาวก็ถูกผู้คุมลากออกมาแล้วโยนเข้าไปกลางลานกว้าง พวกเขากระแทกพื้นคอนกรีตเหมือนกระสอบเนื้อ ส่งเสียงร้องครางจากแรงกระแทก ฝูงชนระเบิดเสียงโห่ผิวปาก เสียงหัวเราะ และเสียงตะโกนอย่างยินดี

ท้องไส้ผมปั่นป่วน

มันไร้มนุษยธรรม โหดร้าย

ผมมองฟ็อกซ์ หวังจะเห็นปฏิกิริยาอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่แม้แต่จะกะพริบตา

ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากแล้วหันสายตากลับไปมองนักโทษเหล่านั้น ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดกลัว ราวกับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ทำไม หนึ่งในนั้นซึ่งผอมและผมเผ้ายุ่งเหยิงพยายามจะลุกขึ้นยืนขณะที่ผู้คุมคนหนึ่งหยิบโทรโข่งขึ้นมา

"สวัสดีตอนเย็นทุกท่าน!" เสียงก้องไปทั่วลาน "พร้อมสำหรับการต่อสู้อันน่าจดจำแล้วหรือยัง"

ฝูงชนคำรามลั่น เสียงปรบมือปะปนกับเสียงหัวเราะอันน่าสยดสยอง ความขยะแขยงตีตื้นขึ้นมาในลำคอราวกับน้ำดี

"นี่คือนักโทษสามคน!" ผู้คุมพูดต่อ "แต่จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะเดินออกไปอย่างมีชีวิต! ผู้ชนะจะได้รับโอกาสเข้าร่วมแก๊งใหญ่แก๊งหนึ่งและจะได้รับการคุ้มครองจากคนอื่นๆ!"

ลานกว้างสั่นสะเทือนด้วยเสียงหัวเราะ บรรยากาศคุกรุ่นไปด้วยความตึงเครียด อบอวลไปด้วยความซาดิสม์และความกระหายเลือด ผู้คุมหยุดเว้นจังหวะเพื่อสร้างผลกระทบก่อนจะเสริมว่า

"ส่วนที่เด็ดที่สุดน่ะเหรอ ไม่มีใครในนี้สู้เป็นเลยสักคน"

ถ้าก่อนหน้านี้ฝูงชนตื่นเต้น ตอนนี้พวกเขาคลุ้มคลั่งไปแล้ว เสียงผิวปากอย่างบ้าคลั่งและเสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วลาน

สายตาผมกวาดมองใบหน้าที่บิดเบี้ยวซึ่งเปล่งประกายด้วยความยินดีกับความรุนแรงที่กำลังจะเกิดขึ้น สำหรับพวกเขา นี่ไม่ใช่อาชญากรรมอันน่าสยดสยอง

มันคือความบันเทิง

ฟ็อกซ์เอนตัวมาทางผมเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาต่ำและเย็นชา

"ส่วนที่ดีที่สุดของการต่อสู้ของพวกหน้าใหม่คือความสิ้นหวัง พวกมันจะอ้อนวอน ร้องไห้ พยายามจะหนี และสุดท้าย... ก็ตายอยู่ดี"

ความเย็นเยียบแล่นวาบไปทั่วสันหลัง ปอดของผมลืมวิธีหายใจ ผมเหลือบมองฟ็อกซ์ แต่เขายังคงเฉยเมย ราวกับกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ

"และบัดนี้..." เสียงของผู้คุมดังขึ้นอีกครั้ง "มาเริ่มความสนุกกันได้เลย!"

เขายกแขนขึ้น—และโดยไม่มีสัญญาณเตือน เสียงปืนก็ดังขึ้นหนึ่งนัด

บทก่อนหน้า
บทถัดไป