บทที่ 4 กลับสู่บ้าน...

1

หานฉงหรงลืมตาตื่นขึ้นในที่สุด ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยเหงื่อผุดพราย ผสมผสานกับน้ำตาที่ไหลทะลักออกจากดวงตาจนมิอาจคาดเดาได้ว่าจะเหือดแห้งลงเมื่อใด

ฉงหรงยกมือขึ้นทาบที่ทรวงอกตนเองเพื่อปลอบมิให้หัวใจที่กำลังเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งสงบลง หลังจากตั้งสติได้ นางเหลียวมองซ้ายขวารอบตัว ทั้งเตียงตั่ง ฟูกไหม เครื่องเรือนเรียบง่ายทุกชิ้นที่ประดับประดาอยู่ในห้อง ทั้งหน้าต่างประตูที่เปิดรับอากาศบริสุทธิ์และกลิ่นดอกล่าเหมยที่ปลูกเอาไว้ตรงลานบ้านเข้ามา ทำให้บรรยากาศในห้องยิ่งทวีความคุ้นเคย จนรู้สึกว่ากลิ่นควันไฟและกลิ่นเนื้อไหม้นี่วนเวียนอยู่ที่ปลายจมูกเป็นสิ่งที่นางอุปาทานไปเอง

ที่นี่มิใช่เรือนหลังน้อยที่อยู่ในจวนราชบุตรเขยเลวบัดซบผู้นั้น มิใช่เรือนหลังน้อยที่นางจุดไฟเผาจนตัวตายพร้อมลูกน้อยที่ยังแบเบาะ

ที่นี่คือห้องพักส่วนตัวของนาง...เรือนหลังเก่าที่นางเคยอาศัยอยู่และเติบโตมา

แสดงว่าสิ่งที่นางอธิษฐานก่อนสิ้นลมนั้นฟ้าดินรับรู้ จึงได้ให้นางย้อนเวลากลับมาแก้ไขความผิดพลาด

ถ้า ณ ช่วงเวลานี้คืออดีต...ถ้าเช่นนั้น...

“หรงเอ๋อร์ หรงเอ๋อร์”

เสียงอบอุ่นอ่อนโยนนั้นปลุกหานฉงหรงให้ตื่นจากนิทรา ก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนไว้หนวดเคราสีดำแซมขาวสวมชุดสีเขียวไข่กาท่าทางสุขุมทรงภูมิ หานฉงหรงเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยเต็มสองตาพลันน้ำตาเอ่อรื้น ก่อนโผเข้ากอดอีกฝ่ายแน่นราวกับโหยหาอาวรณ์มาทั้งชีวิต

“ท่านพ่อ หรงเอ๋อร์คิดถึงท่าน...คิดถึงเหลือเกิน”

บิดาของหานฉงหรงหรืออีกนามหนึ่งคือ หานเซียงอวิ๋นที่จู่ๆ ถูกบุตรสาวก็ลุกพรวดพราดขึ้นมากอดเขาอย่างไม่ทันตั้งตัวพลันเบิกตาน้อยๆ ก่อนลูบศีรษะบุตรสาวอย่างรักใคร่เมตตา “คิดถึงอันใด เมื่อวานพวกเราก็ยังอยู่ด้วยกันมาตลอด เจ้าพูดเหมือนกับว่าพวกเราจากไปยังที่ๆ ไกลแสนไกลกระนั้น”

ฉงหรงส่ายหน้าแรงๆ พร้อมกลืนก้อนสะอื้นลงคอ จะมิให้นางคิดถึงได้อย่างไรกัน ภาพจำสุดท้ายของคนตรงหน้า คือใบหน้าซูบซีดที่เกิดจากโรคระบาดค่อยๆ หมดลมหายใจไปต่อหน้าของนาง เสี้ยวเวลานั้นความรู้สึกนางปานเขาไท่ซานถล่ม เศร้าเสียใจแทบล้มประดาตาย และเป็นสายใยสุดท้ายที่เหนี่ยวรั้งนางไว้ที่เมืองจี๋หลินแห่งนี้ก่อนที่จะได้รับจดหมายเรียกตัวจากสามีที่กลายเป็นจอหงวนให้มายังเมืองหลวงอันเป็นจุดจบในชีวิตในอนาคต

"เอาล่ะ นิ่งซะ นิ่งเสีย ร้องไห้ตั้งแต่เช้าย่อมมิเป็นลางดี" หานเซียงอวิ๋นใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาให้บุตรสาว "พ่อมาปลุกเจ้าเพราะเห็นว่าสายมากแล้วเจ้ายังไม่ตื่น เกรงว่าจะไม่สบาย"

"ฉงหรงสบายดี ขอโทษที่ทำให้ท่านพ่อเป็นห่วงเจ้าค่ะ" หานฉงหรงรีบเช็ดน้ำตาจนแห้ง แล้วคลี่ยิ้มให้อีกฝ่ายสบายใจ

"ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว พ่อทำข้าวเช้าไว้ให้ รีบลุกมากินเสีย เดี๋ยวพ่อจะไปยังสถานศึกษาแล้ว" บิดาของนางกล่าวอย่างอารมณ์ดี บ้านอื่นอาจจะให้บุตรสาวหรือภรรยาตื่นขึ้นมาต้มน้ำและเตรียมอาหารเช้าไว้ให้บิดาหรือสามีรับประทาน แต่สำหรับบ้านที่มีอยู่กันเพียงสองพ่อลูกเช่นบ้านสกุลหานนั้น จะแบ่งวันกันทำหน้าที่ในบ้าน ไม่เคยคิดว่างานบ้านงานเรือนนั้นเป็นหน้าที่จำเพาะเจาะจงของผู้ใด

หานฉงหรงพยักหน้า จากนั้นจึงลุกขึ้นไปล้างหน้าหวีผมแต่งตัวเรียบร้อยแล้วรีบเดินตรงไปที่โต๊ะอาหาร ซึ่งมีโจ๊กข้าวฟ่างใส่ไข่ขาวไข่เค็มลอยหน้าร้อนกรุ่น กับขนมจ้างไส้พุทราแดงที่ทำไว้ตั้งแต่เมื่อวานอีกคนละลูก ไม่ถึงอึดในสองพ่อลูกก็ร่วมกันรับประทานอาหารเช้าจนอิ่มหนำ บรรยากาศที่อบอุ่นคุ้นเคยเช่นนี้ทำให้ฉงหรงที่เพิ่งผ่านชะตากรรมอันโหดร้ายและความตายเมื่อครั้งก่อนนั้นต้องพยายามสะกดกลั้นน้ำตาแห่งความดีใจมิให้ไหลออกมา

ขณะที่หานเซียงอวิ๋นกำลังเตรียมตัวออกไปข้างนอก หานฉงหรงที่กำลังเก็บถ้วยชามที่กินเสร็จเรียบร้อยก็อดถามออกมามิได้ "ท่านพ่อ เวลานี้คือรัชสมัยใดเจ้าคะ"

หานเซียงอวิ๋นขมวดคิ้ว ทั้งฉิวทั้งขัน "บุตรสาวพ่ออายุไม่เท่าใดก็หลงลืมเสียแล้ว เวลานี้คือรัชสมัยเสวียนจิ้งที่สิบสี่"

กล่าวจบก็เดินออกไปจากบ้าน ทิ้งให้ฉงหรงจ่อมจมกับสิ่งที่ได้รู้จากปากบิดา

รัชสมัยเสวียนจิ้งที่สิบสี่...เวลานี้คือช่วงที่นางกับฉางซื่อหลางคบหาดูใจกระทั่งหมั้นหมาย และเป็นจุดเริ่มต้นของชะตาวิบัติของนางในอีกสองปีต่อมา

เมื่อคิดได้ดังนั้น หานฉงหรงจึงรีบกลับไปที่ห้องของตน รื้อกล่องใส่เครื่องประดับบนโต๊ะประทินโฉมของตนออกมา แล้วหยิบปิ่นเงินรูปดอกเหมยประดับทับทิมแดงที่ห่อด้วยผ้าเนื้อนุ่มและเก็บแยกไว้ในกล่องอีกใบเพื่อไม่ให้กระทบกับเครื่องประดับอื่นเกิดรอย บ่งบอกว่านางทะนุถนอมปิ่นชิ้นนี้มากเพียงใด

นี่คือของหมั้นหมายที่ฉางซื่อหลางมอบให้นางในวันหมั้น และใช้มันประดับมวยผมนางในพิธีหมายตาเจ้าสาว...และยังคงประดับเรือนผมเรื่อยมาตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต

ยิ่งหญิงสาวคิดถึงกระกระทำสุดชั่วช้าของผู้ที่มอบปิ่นให้มาก็ยิ่งกำปิ่นในมือแน่นขึ้น กำแน่นจนมือสั่นระริก กระทั่งรู้สึกเจ็บเพราะดอกไม้ไหวที่ประดับปิ่นทิ่มแทงฝ่ามือก็ไม่คิดผ่อนแรงลง ราวกับปิ่นชิ้นนั้นเป็นตัวแทนของความแค้นที่นางคอยย้ำเตือนไม่ให้ตนเองได้หลงลืมไป

"เมื่อได้โอกาสแก้ไข ก็อย่าได้เดินผิดพลาดอีก"

กล่าวจบนางก็โยนปิ่นในมือทิ้งไปราวกับสลัดผ้าขี้ริ้วเก่าขาดผืนหนึ่ง ทั้งยังใช้แขนเสื้อเช็ดมืออีกครั้งราวกับยังมีสิ่งสกปรกติดค้าง หลังจากสงบสติอารมณ์ได้สักพักนางก็เริ่มเรียบเรียงความคิดของตน

สองปีก่อนที่นางจะตายจากพร้อมเลือดในอกของตนยังมีเวลาอีกสองปี เวลาเหล่านี้มากพอที่จะศึกษาหาวิธีรับมือกับโรคระบาดและเขี่ยฉางซื่อหลางออกไปจากชีวิต

เรื่องโรคระบาด ถ้ารู้อาการและสาเหตุย่อมรับมือไม่ยาก ทว่าฉางซื่อหลางเป็นบุรุษสับปลับ ต่อหน้ามะพลับลับหลังตะโก ถ้าเกิดนางป่าวประกาศถึงโฉมหน้าที่แท้จริงไปในตอนนี้ก็คงไม่มีใครเชื่อถือ

นางต้องรอบคอบให้มากกว่านี้...

บทก่อนหน้า
บทถัดไป