บทที่ 5 Chapter 1 ผีรุ่นแรก [4]

พรึ่บ!

แล้วอยู่ๆ ไฟทั้งห้องก็ดับลงซะอย่างนั้น ผมรีบทะลึ่งตัวพรวดขึ้นจากโซฟาแล้วมองหาร่างสูงที่ตอนนี้เดินไปถึงหน้าประตูห้องแล้ว โชคดีนะที่แสงไฟด้านนอกพอจะทำให้ผมมองเห็นอะไรลางๆ ได้บ้าง

“จะรีบไปไหนล่ะหมอ”

ผมร้องถามเสียงดังแล้ววิ่งตามร่างสูงที่กำลังเดินกลับออกไปโดยไม่สนใจผีเร่ร่อนอย่างผมเลยสักนิด ไม่นะ ไม่คิดจะช่วยกันบ้างเลยรึไงกันเล่า ใจดำชะมัด

แกร๊ก!

เสียงประตูที่ถูกปิดลงทำผมรีบจนเบรกตัวโก่ง ซึ่งจากระยะห่างในตอนนี้มันเบรกไม่ทันแล้ว แต่แทนที่ผมจะชนเข้ากับประตูห้องทำงานของหมอ ผมกลับพุ่งออกมายืนเคว้งคว้างโงนเงนอยู่กลางโถงทางเดิน

ผมเบรกทำไม ผมเดินทะลุมันได้นี่นา >_<

“อ้าวหมอ รอก่อนสิ”

คิดดูเถอะว่าผมตามมาขนาดนี้หมอยังไม่หันมาสนใจผมเลย

“ผมบอกให้หยุด ถ้าหมอไม่หยุดแล้วหันกลับมาคุยกับผม เราได้เห็นดีกันแน่”

ผมรีบตะโกนขู่ไล่หลัง แต่ไอ้บ้าหมอก็ยังเดินอาดๆ ต่อไป หรือว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงของผมแล้ว ตอนนี้เขายังเห็นผมอยู่รึเปล่า หรือว่าผมกำลังจะตายแล้วจริงๆ วิญญาณผมเสื่อมสมรรถภาพแล้วเหรอ (มันมีด้วยเหรอแก)

“หมอ!”

แล้วผมก็ลองตะโกนเรียกหมอดูอีกครั้งด้วยความอยากรู้ ปรากฏว่าหมอก็ยังไม่หันกลับมาเหมือนเดิม ดีล่ะ อยากเห็นดีกับผีอย่างผมนักใช่มั้ย ลืมไปรึเปล่าว่าผมเป็นผีอยู่ หึหึ คิดจะเล่นกับผีต้องโดนซะบ้าง

ฟู่ว์~~~

“กรี๊ดดด!”

พยาบาลคนนึงกรีดร้องด้วยความตกใจเมื่อผมแกล้งเป่าลมปากใส่หูเธอเบาๆ (จำมาจากในหนังอีกเหมือนเคย) แน่นอนว่าเธอมองไม่ฉันผมนี่ แต่หมอน่ะเห็นแน่ เพราะว่าตอนนี้หมอหันมาจ้องผมตาเขียวปั๊ดเลย

นั่นแน่^^ ยังเห็นผมอยู่จริงๆ ด้วย

“จะเอาอีกมั้ยหมอ” ผมแกล้งถามยั่ว เอาสิ ถ้าไม่สนใจผมๆ จะทำให้ป่วนทั้งโรงพยาบาลเลย คอยดู!

“เหอะ”

เป็นอันว่าสองตาของผมต้องเบิกกว้างเมื่อได้ยินเสียงแค่นหัวเราะในลำคอของหมอ ท่าทางไม่สนใจผมแบบนั้นหมายความว่าอยากจะท้าทายผมใช่มั้ย ได้เลย ผมจัดให้ครับคุณหมอ

ฟู่ว์~~~

ฟู่ว์~~~

ฟู่ว์~~~

และแล้วมันก็กลายเป็นเรื่องสนุกเมื่อผมวิ่งเป่าหูพยาบาลไปหลายคน เล่นเอาพวกเธอกรีดร้องกันระงมด้วยความตกใจก่อนจะต้องตะปบปากของตัวเองเอาไว้เพราะตกใจกลัวจะรบกวนคนไข้

รู้มั้ยว่าที่ผมต้องใช้วิธีนี้เพราะผมหยิบจับอะไรไม่ได้เลย พอเอื้อมมือไปแตะ มันก็กลายเป็นแค่เพียงลมผ่านคล้ายกับร่างกายของผมโปร่งแสง และเมื่อมันเป็นแบบนั้น ผมก็เลยทำได้แค่เป่าลมออกจากปากเนี่ยแหละ จะเป็นผีทั้งทีดันเป็นผีเป่าปาก น่าอนาถฉิบเป๋ง

“เธอรู้สึกเหมือนฉันรึเปล่า”

“ใช่ๆ ฉันรู้สึกเหมือนที่ลมอะไรบางอย่างเป่าที่หูฉัน ชนลุกซู่เลย”

“นั่นสิ ฉันก็เหมือนกัน”

“ฝีมือผม เอ๊ย จะพูดให้ถูกต้องบอกว่าฝีปากผมเองครับ”

ผมบอกยิ้มๆ แล้วหยุดยืนมองหมอที่ตอนนี้เขาเองก็ยอมหยุดเดินแล้ว พยาบาลทุกคนมีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อคุณหมอใหญ่ของโรงพยาบาลเดินย้อนกลับมาด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจน

“ส่งเสียงดังรบกวนคนไข้ ระวังจะโดนไล่ออกกันหมดนะ” ผมแกล้งว่าพลางยกมือขึ้นกอดอก ดูสิว่าหมอจะกล้าทำเป็นมองไม่เห็นผมอีกมั้ย

“มีเรื่องอะไรกัน”

ร่างสูงเดินมาหยุดยืนตรงหน้าผม เขาถามเสียงเรียบราวกับต้องการจะสืบสาวราวเรื่องกับพยาบาลสามสี่คนด้านหลังเคาน์เตอร์ แต่ว่าสายตาของเขามองมาที่ผมชัดเจน โว้โวววว (จะโว้โวทำไม?)

“ขอโทษค่ะคุณหมอ แต่พวกเรารู้สึกเหมือนจะโดนเป่าหู มันมีลมแปลกๆ แล้วก็...”

“เหลวไหล ที่นี่โรงพยาบาล แล้วนี่มันก็ดึกมาแล้ว เลิกพูดจาไร้สาระแล้วก็ห้ามส่งเสียงดังรบกวนคนไข้อีก ไม่อย่างนั้นผมจะเขียนรายงาน” หมอพูดเสียงเข้ม ใบหน้าถมึงทึงของหมอทำเอาพยาบาลต่างหันรีหันขวางเพื่อหลบสายตาของหมอที่กำลังกราดมองไปรอบๆ ก่อนจะมาหยุด...ที่ผม

“ซวยละ” ผมบ่นพึมพำพลางกลอกตาขึ้นลงอย่างนึกหาทางออก เอายังไงต่อดีล่ะทีนี้

“ที่รถ”

“คุณหมอว่าอะไรนะคะ”

พยาบาลคนนึงหันมาถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ ผมแอบหัวเราะนิดหน่อยเมื่อหมอออกคำสั่งกับผมซะดังเหมือนจะหงุดหงิดรำคาญ แต่คงจะลืมไปว่าในที่นี้มีแค่ตัวเองเท่านั้นที่มองเห็นผม

“ผมบอกว่ามีอะไรก็ไปทำ ส่วนผมจะกลับไปที่รถแล้ว หวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย อย่าวุ่นวายกันอีก”

อืม นั่นบอกผมรึเปล่า คำว่าวุ่นวายนี่เน้นซะผมแอบสะอึกเลย

และแล้วหมอก็หันกลับไปแล้วเริ่มออกเดินอีกครั้ง ซึ่งผมคิดเอาเองว่าสิ่งที่เขาพูดเมื่อกี้คือต้องการจะบอกให้ผมเดินตามเขากลับไปที่รถ เอาเถอะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมเหลือแค่หมอคนเดียวนี่นา เขาคงไม่ฆ่าผมหรอกเพราะตอนนี้ผมตายมาครึ่งนึงแล้ว

“หมอ!”

“อย่าวุ่นวายให้มากนัก ไม่งั้นฉันจะจับนายลงหม้อแล้วเอาไปถ่วงน้ำซะให้มันรู้แล้วรู้รอด” นั่นมันผีแม่นาคไม่ใช่เหรอ แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้หมอช่วยหันมามองผมก่อนได้รึเปล่า

“หมอ ช่วยผมด้วย”

“นี่นาย! เฮ่ย!”

“ช่วยผมด้วยหมอ ช่วยด้วยยยยย”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป