บทที่ 6 Chapter 1 ผีรุ่นแรก [5]

“ช่วยผมด้วยหมอ ช่วยด้วยยยยย”

ผมยังคงร้องโวยวายไม่หยุด เมื่ออยู่ๆ ผมก็ถูกผู้ชายสองคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่จนน่ากลัวเดินตรงเข้ามาล็อคแขนทั้งสองข้างของผมเอาไว้แน่นก่อนจะพยายามลากผมให้เดินถอยหลังตามพวกเขามา

ถึงแม้ว่าผมจะพยายามตะโกนร้องให้คนช่วยมากเท่าไหร่ แต่จะมีใครช่วยผมได้ในเมื่อทุกคนมองไม่เห็นผม ไม่มีใครได้ยินเสียงของผม เว้นก็แต่...หมอ ซึ่งเขาคงไม่หันกลับมาสนใจผมหรอก เขาคงอยากให้ผมไปให้พ้นๆ หน้าเขาตั้งนานแล้วด้วยซ้ำไป

ปัง!

เสียงประตูถูกปิดลงไล่หลังผมมาติดๆ ผมถูกชายแปลกหน้าสองคนเหวี่ยงเข้ามาในห้องอะไรสักอย่างที่แม้แต่แสงสว่างรำไรๆ ให้ผมพอจะมองเห็นก็ไม่มี พูดง่ายๆ ว่าตอนนี้ทุกอย่างมืดสนิท หากแต่สิ่งที่ทำให้ผมหวาดกลัวกลับไม่ใช่ความมืด เพราะสิ่งเดียวที่กำลังวิ่งวนไปวนมาอยู่ในหัวของผมก็คือผู้ชายสองคนที่จับตัวผมมาเป็นใคร แล้วทำไมพวกเขาถึงได้มองเห็นผม แถมยังสามารถจับตัวผมได้ ทั้งๆ ที่มันน่าจะมีแค่หมอเพียงคนเดียว

“แน่ใจนะว่าใช่คนนี้”

เสียงทุ้มๆ ก้องกังวานทำผมถอยกรูดจนชิดกำแพงที่เย็นเยียบด้านในสุดของห้อง ถึงแม้ว่าผมจะมองไม่เห็นอะไรเลยสักอย่าง แต่สัญชาติญาณของผมก็บอกให้ผมพยายามหนี

“มันจะผิดตัวไปได้ยังไง เราไม่เคยพลาดเรื่องงานจับวิญญาณ”

ผมรู้สึกขนหัวลุกซู่แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คำว่าจับวิญญาณทำผมต้องรีบคู้ตัวและพยายามทำตัวเองให้ลีบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ค่อยๆ ชันเข่าขึ้นมาแล้วกอดมันเอาไว้แน่นสุดชีวิต

“แต่หน้าตาไอ้หนุ่มนี่ไม่เห็นจะเหมือนในไลน์ที่ท่านพญายมส่งมาเลย”

“O_O” ท่านพญายมงั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าผู้ชายที่ผมเห็นทั้งสองคนก็คือยมบาลงั้นสิ

โฮก T^T ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง อีกอย่างก็คือไม่เคยคิดมาก่อนว่าเทคโนโลยีในโลกปัจจุบันจะสามารถเข้าถึงโลกของนรกได้แล้ว พญายมมีไลน์ด้วย ไอดีอะไรเผื่อผมจะขอแอดไป ว้ากกก >_<

“นี่ไอ้หนุ่ม”

แล้วผมก็รู้สึกเหมือนคำว่าไอ้หนุ่มนั่นจะหมายถึงผมนะ แต่ว่าผมไม่กล้าขานรับหรอก ผมกลัว!

“ได้ยินที่ข้าเรียกมั้ยไอ้หนุ่ม ถ้าได้ยินแล้วก็ตอบด้วย อย่าให้ข้าต้องเปิดไฟ”

แม้เสียงนั้นจะเริ่มน่ากลัวขึ้นแต่ผมก็ยังเลือกจะเงียบและนอนกอดตัวเองให้แน่นขึ้นกว่าเดิม ไม่ได้อยากจะท้าทายอำนาจของท่านทั้งสองเลยนะ แต่สาบานว่าตอนนี้ผมไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำไป แค่คิดว่าจะต้องมาพูดกับยมบาลผมก็อยากจะกลั้นหายใจตายไปอีกรอบ

พรึ่บ!

แล้วอยู่ๆ ห้องทั้งห้องก็สว่างวาบ หากแต่ผมก็ยังมองไม่เห็นอะไรเลยเอยู่ดีเพราะต้องรีบหลับตาแน่น และสาเหตุก็เพราะว่าไอ้แสงสว่างที่ว่ามันไม่ใช่แสงไฟจากหลอดนีออน หากแต่มันคือแสงสว่างจากกองเพลิงที่กำลังลุกโชนอยู่รอบกายของผม

“ผมอยู่นี่ครับ ดับไฟที ผมได้ยินแล้วคร้าบบบ” ผมรีบร้องบอกพร้อมกับดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น สองตายังคงหลับเอาไว้แน่นเพราะว่ามันทั้งแสบทั้งร้อนไปหมด

พรึ่บ!

แล้วแสงสว่างและความร้อนจากกองเพลิงรอบกายของผมก็หายไปเมื่อผมยอมเอ่ยปาก ผมได้ยินเสียงทุ้มๆ หัวเราะเบาๆ ราวกับท่าทางของผมมันน่าขำ แต่การเห็นคนอื่นนอนร้อนดิ้นทุรนทุรายอยู่ตรงหน้ามันไม่ใช่เรื่องตลกนะครับท่านยมบาล

“ข้าเห็นเจ้านั่งเงียบ ข้าก็เลยคิดว่าเป็นใบ้น่ะสิ”

น้ำเสียงทุ้มๆ ที่ได้ยินเมื่อกี้ขยับมาดังอยู่เบื้องหน้าของผมแล้ว เจ้าของเสียงค่อยๆ ยื่นหน้ามาจ้องผมใกล้ๆ สองตาแดงๆ ที่กำลังจ้องผมทำสติผมแทบขาดผึง

“ข้าว่าหน้าตาไอ้หนุ่มนี่มันเข้าท่าดีนะ”

อะไรคือเข้าท่า หน้าตาผมเป็นยังไงเหรอท่านยมบาลถึงได้พูดแล้วกระพริบตาปริบๆ ใส่ผมแบบนั้น

ตอนนี้ผมนั่งเกร็งไปทั้งตัว บรรยากาศรอบกายเย็นยะเยือกแต่ผมกลับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะไปทั่วร่างกายเมื่อทั่วทั้งร่างกายของผมกำลังผุดซึมไปด้วยเม็ดเหงื่อ

“เลิกแกล้งไอ้หนุ่มได้แล้วท่านยมฯ หนึ่ง ข้าว่าเรารีบกลับไปรายงานท่านพญายมดีกว่าว่าเราจับดวงวิญญาณมาผิด”

“แหม ข้ากำลังสนุกเลยท่านยมฯ สอง”

แล้วสองตาของผมก็ถึงกับเบิกกว้าง เมื่ออยู่ๆ ท่านยมบาลทั้งสองคนก็ทำเหมือนจะทิ้งผมไว้ ใจจริงก็ไม่ได้อยากจะตามไปด้วยหรอกนะ แล้วก็พอเข้าใจด้วยว่าสิ่งที่ท่านทั้งสองคนพูดกันหมายถึงอะไร แต่ถ้าจับวิญญาณมาผิดจริงๆ แล้วจะทิ้งผมเป็นวิญญาณเร่ร่อนแบบนี้ได้ยังไงกันล่ะ!

บทก่อนหน้า
บทถัดไป