บทที่ 1 Intro [1]
69 Bar
“ไอ้โอบ เดี๋ยวเก็บตรงนั้นเสร็จแล้วมาช่วยกูจัดโต๊ะด้วยนะ” ไอ้อินเทลตะโกนขอความช่วยเหลือ ใบหน้าคมเข้มหล่อลากไส้ของมันวันนี้ดูเคร่งขรึมกว่าทุกวัน กรอบหน้าปรกด้วยเส้นผมสีดำที่ขลับชื้นไปด้วยเม็ดเหงื่อทั้งที่เครื่องปรับอากาศยังคงถูกเปิดเอาไว้แม้ว่าร้านจะปิดแล้วก็ตาม
เป็นปกติของสิ้นเดือนน่ะ อีกทั้งยังตรงกับคืนวันเสาร์ ผู้คนก็เลยหลั่งไหลกันมาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ เล่นเอาทั้งมันและผมรวมถึงคนอื่นๆ แทบหมดแรง
“ยังไม่เสร็จ”
“กูรู้ กูบอกว่าเสร็จแล้วให้มาช่วย นี่มึงฟังภาษาคนไม่ออกหรือกวนตีน”
“กวนตีน/เฮ่ย” ผมตอบอย่างตั้งใจจะกวนตีนไอ้อินเทลมันจริงๆ นั่นแหละ เพราะผมชอบเห็นมันหงุดหงิด แต่มันก็เหมือนจะรู้ทันเพราะผมยังไม่ทันจะพูดจบประโยค ก็เหมือนจะเห็นรองเท้าผ้าใบสีขมุกขมัวของมัวลอยละลิ่วตรงมาทางผมทันที ทว่า...
“เมื่อไหร่พวกมึงสองคนจะเลิกกัดกันสักที” พี่จอมทัพที่เดินมาจากทางด้านหลังร้านปรามด้วยน้ำเสียงเอือมระอา เขาถอนหายใจเฮือกเบ้อเริ่มกองเอาไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์เพราะคงจะหมดแรงกับการต้อนรับแขกในวันนี้พอตัวอยู่เหมือนกัน ใบหน้าหล่อตี๋อินเตอร์ก้มลงต่ำ สายตาที่ลืมตาเหมือนไม่ได้ลืมเพ่งมองไปที่รองเท้าผ้าใบข้างนั้นของไอ้อินเทลก่อนจะ
ปั่ก!
กระทืบมันเอาไว้ใต้รองเท้าผ้าใบสีแดงแบรนด์ดัง รุ่นใหม่ล่าสุด
ใช่ครับ เมื่อครู่นี้ถ้าพี่จอมทัพเขาหลบไม่ทัน รองเท้าสกปรกๆ ข้างนั้นของไอ้อินเทลคงกระแทกหัวเขาไปเต็มๆ อย่างไม่ต้องมีญาณทิพย์ผมก็สัมผัสได้
“ขอโทษครับพี่ทัพ ผมไม่เห็นว่าพี่เดินมาพอดี” ไอ้อินเทลตาลีตาเหลือกวิ่งมาอ้อนวอนขอรองเท้าคืน มันยืนประสานมือไว้ตรงหน้าพี่เขา ทำหน้าตานอบน้อมอย่างรู้ชะตากรรม
“แปลว่ากูผิดที่เสือกเดินออกมางั้นสิ”
“โธ่พี่ ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย อีกอย่างพี่ก็รู้ว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะปาพี่แต่ตั้งใจจะปาไอ้สัสโอบต่างหาก”
“กูรู้แค่ว่ามันเกือบโดนหัวกู” พี่จอมทัพยังคงบอกเสียงเข้มอย่างไม่คิดจะยอมปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ สีหน้าบึ้งตึงแต่ดูยังไงๆ ก็หาความน่ากลัวไม่ได้เลยสักนิด ผู้ชายอะไรทำหน้านิ่งได้เหมือนยิ้มอยู่ตลอดเวลา หน้าตาเขาโคตรเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
“ขอโทษครับพี่ ต่อไปผมจะระวังแต่ตอนนี้พี่คืนรองเท้าให้ผมก่อนเถอะนะ ผมจะรีบไปกวาดพื้นต่อ”
“สองพัน”
“หา!” ไอ้อินเทลตกใจตาพอง ในขณะที่ผมเองถึงกับต้องรีบกลั้นหัวเราะ
“ค่าปรับรองเท้ามึง ถ้าอยากได้คืนก็จ่ายมา”
“โหพี่ ผมซื้อมาคู่หนึ่งไม่กี่ร้อย นี่พี่เรียกค่าไถ่ข้างหนึ่งสองพัน ผมไปซื้อใหม่ไม่ดีกว่ารึไง”
“แปลว่ามึงไม่เอา งั้นคืนนี้มึงก็เดินตีนเปล่ากับห้องไปก็แล้วกัน”
“ไม่เอาได้ไงล่ะพี่”
“สองพัน”
“ถ้าผมรวยเบอร์นั้นพี่คิดว่าผมจะมาดักดานเป็นพนักงานร้านพี่รึไง โอ๊ย! พี่ทัพ ผมล้อเล่น อ้ากกก”
ตุ้บ!
ตั้บ!
ตุ้บ!
ตั้บ!
เสียงโวยวายของไอ้อินเทลดังลั่นไปทั่วร้าน เพราะมันถูกพี่จอมทัพล็อกคอแล้วฟาดกบาลไม่ยั้งมือ เห็นหน้าพี่แกตี๋ๆ แบบนี้แต่เวลาเล่นกันทีไม่มีออมแรงนะครับ ผมบอกเลย
หลังจากถูกฟาดไม่ยั้งจนสาสมกับความปากดีของมัน พี่จอมทัพก็ก้มเก็บรองเท้าข้างนั้นของมันปาไปลงถังขยะอีกฟากของร้านอย่างแม่นยำ
อืม...ขนาดตาตี่ยังปาโคตรแม่นเลย ไม่เสียแรงที่พี่แกเคยคุยไว้เยอะว่าแกเป็นนักกีฬาของโรงเรียน ได้ยินทีแรกผมร้องได้คำเดียวว่าโอ้โห ถามว่าทึ่งในความสามารถของพี่เขาเหรอ เปล่าครับ ผมคิดว่าพี่เขาค่อนข้างย้อนวัยนานไปหน่อย โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วยังกล้าเอาเรื่องวัยประถมมาอวด เฮ้อ
“เชิญมึงเปลี่ยนที่ดักดานได้เลยไอ้อินเทล กูไล่มึงออก”
“ผมไม่ออก” ไอ้อินเทลหน้าด้านเถียง สาบานว่ามันเป็นลูกจ้าง ส่วนคนที่มันขึ้นเสียงใส่เขาไปเมื่อครู่น่ะเจ้าของร้านจริงๆ
“ต่อให้พี่จะหักเงินเดือนผมจนเหี้ยนผมก็ไม่ออก ถ้าผมออกแล้วผมจะเอาอะไรกิน ขอผมดักดานอยู่ที่นี่ต่อไปนะคร้าบบบ พรุ่งนี้จะรีบมาตอกบัตรแต่หัววันเลย ไม่ขาดไม่ลาไม่มาสายให้พี่ต้องหนักใจแน่นอนครับผม!” มันยังไม่หยุดกวนตีน มิหนำซ้ำยังแสร้งวันทยาหัตถ์ใส่พี่เขาอีก เสียงดังจนผมตกใจเกือบทำแก้วที่กำลังเช็ดหลุดมือ
“มึงนี่มันกวนตีนจริงๆ ไปๆ จะไปไหนก็ไสหัวไปได้แล้ว รีบๆ เก็บให้เสร็จๆ กูง่วง”
“พี่ทัพ ผมกลับแล้วนะครับ พรุ่งนี้เจอกันครับพี่” โปเต้ หนึ่งในพนักงานเสิร์ฟของร้านบอกลาพร้อมกับยกมือไหว้พี่จอมทัพ ทุกคนเขาแสดงความเคารพพี่จอมทัพกันหมดนั่นแหละ ยกเว้นไอ้อินเทลคนเดียวที่ชอบกวนตีนใส่พี่เขาเพราะสันดานมันเป็นแบบนั้นมาแต่ไหนแต่ไร
