บทที่ 8 ไม่ยิ้มให้ข้า
ในตอนที่หญิงสาวกำลังเคลิบเคลิ้มกับรสจูบ ชายหนุ่มได้ขยับดันท่อนมังกรในคราเดียวจนสุดทาง เสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดถูกกลืนกินด้วยจูบสัมผัสของชายหนุ่ม
เขาค่อย ๆ ขยับดันสะโพกช้า ๆ เพื่อให้ความเจ็บปวดของหญิงสาวลดน้อยลงเสียก่อน จึงค่อย ๆ เพิ่มจังหวะให้กระชั้นถี่ขึ้น ชายหนุ่มยันกายลุกขึ้นนั่ง โดยมีขาสองข้างของหญิงสาวพาดอยู่บนต้นขาแกร่ง
เอวสอบขยับดันท่อนมังกรเข้าออกหนัก ๆ ลมหายใจหอบแรงดังขึ้นสลับเสียงคราง เมื่อเส้นทางเล็กแคบบีบรัดแน่นจนแก่นกายของเขา แทบจะไม่สามารถขยับเข้าออกได้โดยง่าย
“โอ้วว...อ๊า...ไยมันรู้สึกดีเช่นนี้เจ้าคะ อ๊า...ข้าเสียวเหลือเกิน อ๊า..”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามใด ๆ ทว่าเอวสอบกลับขยับกระแทกกระทันหนักขึ้น เสียงเนื้อกระทบกันดังปนเสียงครวญครางของหญิงสาว มือบางกำผ้าปูที่นอนเอาไว้แน่น เพื่อระบายความซาบซ่านที่จู่โจมมิหยุดหย่อน ชายหนุ่มขยับเปลี่ยนท่าการรุกล้ำให้ถนัดขึ้น พร้อมกับเพิ่มแรงกระแทกแรง ๆ ตามคำเรียกร้องของภรรยา
ก่อนที่มือหยาบจะจับพลิกร่างงามให้คว่ำหน้า ชายหนุ่มรวบจับเอวคอดเพื่อยกสะโพกผายให้รับแรงกระแทกของเขาได้อย่างถนัดถนี่ ใบหน้างามที่ทาบอยู่บนที่นอนหนานุ่มบิดเบี้ยวด้วยความเสียวซ่านไปทั้งร่าง ชายหนุ่มเร่งจังหวะขับเคลื่อนให้ถี่ขึ้น
ก่อนจะได้ยินเสียเร่งเร้าจากภรรยา ก่อนที่ร่างงามจะกระตุกเกร็งถี่ ๆ พร้อมกับการตอดรัดของเส้นทางสวาท ที่กำลังทำให้เขาจำต้องเพิ่มแรงกระแทกขึ้นอีกนับเท่าตัว
“อ๊า...”
ชายหนุ่มคำรามก้องเมื่อตัวเขาเอง ไม่อาจที่จะข่มกลั่นการปลดปล่อยเอาไว้ได้แล้วเช่นกัน ชายหนุ่มดันท่อนมังกรจนสุดเส้นทางสวาท ก่อนจะกดนิ่งค้างเอาไว้ พร้อมกับปล่อยสายธารอุ่นร้อนเข้าไปในกายของหญิงสาว
หวังลู่ฉงค่อย ๆ โน้มกายลงทาบทับร่างงามช้า ๆ โดยที่ยังมิได้ถอดถอนแก่นกายออกจากช่องทางสวาทของภรรยา ชายหนุ่มรวบกอดหญิงสาวจากทางด้านหลัง ให้ขยับแนบชิดกับแผงอกแกร่งของตนเอง สองร่างที่เนื้อตัวชื้นเหงื่อ ต่างหอบหายใจแรง ๆ ด้วยความสุขสมและเหนื่อยล้าจากสงครามสามีภรรยา
“ไยพี่มิเคยรู้มาก่อน ว่าเจ้ามิเคย”
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามข้างหูภรรยา ที่นอนหอบหายใจถี่ ๆ อยู่ในอ้อมกอด ยิ่งเมื่อนึกถึงการได้เป็นคนแรกของนาง ความหวงแหนพลันเกิดขึ้นมาในทันที ท่อนแขนแกร่งโอบกระชับหญิงสาวแน่นขึ้น ก่อนจะจูบซับหลังใบหูของนางหนัก ๆ ของภรรยา
หวังลู่ฉงหัวเราะในลำคอ เมื่อไม่มีคำตอบจากคนในอ้อมแขน ทว่ามีเพียงเสียงหายใจสม่ำเสมอมาแทนที่ บอกได้ว่าคนที่แนบกายเขาอยู่ในตอนนี้กำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา
ชายหนุ่มค่อย ๆ ถอดถอนท่อนมังกร ที่ดูเหมือนมันจะตื่นอีกครั้งแล้วในตอนนี้ออกอย่างช้า ๆ ก่อนจะลุกไปนำอ่างล้างหน้าพร้อมผ้ามาซุบน้ำเช็ดทำความสะอาดให้กับภรรยา
“เจ้าคือของขวัญล้ำค่าที่ฝ่าบาททรงตั้งใจมอบแก่ข้าสินะ”
ชายหนุ่มจูบแก้มภรรยาหนัก ๆ ครั้งหนึ่ง แล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกายนางอย่างเบามือ ก่อนที่เขาจะหายไปยังหลังฉากอาบน้ำเพื่อชำระร่างกาย และสงบสติอารมณ์ที่กำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้ง และจึงกลับมานอนโอบกอดภรรยาอีกครั้ง
ยามสายวันถัดมา
ร่างสูงได้ก้าวออกจากห้องพัก ใบหน้าของแม่ทัพหนุ่มยังคงเรียบเฉย จะมีเพียงสายตาที่มองไปยังบุตรชายหัวหน้าหมู่บ้านเท่านั้น ที่ดูจะฉายชัดถึงความไม่ชอบใจนัก
“ท่านแม่ทัพ”
เป็นแม่นมชุ่ยอิงที่ก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าชายหนุ่ม ก่อนจะมองเลยไปยังประตูห้องพักของผู้เป็นนาย
“อย่าเพิ่งกวนนาง ปล่อยให้ตื่นเองมิต้องไปปลุก หากไม่มีคำสั่งของข้าผู้ใดก็ห้ามเข้าไปข้างในเด็ดขาด”
แม่ทัพหนุ่มออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงดุดัน โดยที่สายตานั้นยังจับจ้องอยู่กับคนที่เขาไม่อยากให้เฉียดใกล้ภรรยา
“เจ้าค่ะ”
ชุ่ยอิงรับคำก่อนจะขยับหลีกทางให้แก่ท่านแม่ทัพ ไม่มีคำถามหรือความสงสัยอื่นใดออกจากปากของแม่นมสูงวัยอีก นางมีหน้าที่ทำตามคำสั่งของเจ้านายเท่านั้น หากสิ่งนั้นมิได้ทำร้ายองค์หญิงของนาง
ทุกคำสั่งของท่านแม่ทัพนางมิคิดโต้แย้งใด ๆ ทั้งนั้น เรื่องของสามีภรรยาอย่างไรเสียนาและเหล่าผู้ติดตามก็คือคนนอก มิควรสอดรู้หรือก้าวก่าย เมื่อลับร่างของแม่ทัพหนุ่มไปแล้ว ชุ่ยอิงจึงหันไปยังคนที่ยังยืนมองหน้าประตูห้องของผู้เป็นนายมิยอมจาก
“ท่านป้า ไยฮูหยินยังไม่ออกมาอีกเล่าขอรับ”
บุตรชายหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยถาม โดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ประตูห้อง
“มันธุระอันใดของเจ้ากัน”
“ข้าเป็นห่วงนาง เกรงว่าท่านแม่ทัพจะไม่พอใจที่นางเอ่อ...”
“อะไร”
“ที่นางดูให้ความสำคัญกับข้าอย่างไรเล่า”
บุตรชายหัวหน้าหมู่บ้านพูดยิ้ม ๆ ดวงตาที่สื่ออกมาก้แฝงความนัยเอาไว้อย่างชัดเจน
“ฮ่า ๆ เจ้าคนสมองหมู เจ้าเอาส่วนไหนของก้อนน้อย ๆ นั่น ที่คิดว่าฮูหยินของเราให้ความสำคัญต่อเจ้ากัน”
ขวับ! เสียงหัวเราะจากด้านหลัง ทำให้บุตรชายหัวหน้าหมู่บ้านหันกลับไปมองในทันที ใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าในยามค่ำคืนว่ารูปงามมากแล้ว ในเวลากลางวันเช่นนี้หากเทียบกันแล้ว อีกฝ่ายไม่ต่างจากเทพเซียน ส่วนตัวเขาเสมือนยาจกเลยก็ว่าได้
“เมื่อคืนอย่างไรเล่า หรือเจ้าไม่เห็นว่านางยิ้มให้แก่ข้า”
“เจ้าเด็กมิรู้ความ นายหญิงของพวกข้านั้นเป็นคนอารมณ์ดี เจ้าคือจ้าวบ้าน การที่เราผู้เป็นแขกยิ้มให้ ย่อมเป็นสิ่งสมควรทำ หรือยามเจ้าไปบ้านคนอื่น เจ้าจะต้องมีใบหน้าดั่งความคิดในขณะนั้นเลยหรืออย่างไรกัน นางยิ้มให้คนนับร้อย แบบนี้นางคงเห็นคนเหล่านั้นสำคัญทั้งหมดสินะ คิดได้อย่างไรกัน หืม!”
ต้านหลี่มิพูดเปล่า แต่สีหน้าที่แสดงออกนั้น คือการเย้ยหยันอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ
