บทที่ 8 4 คิดว่าจะหนีพ้น? (1)

“คะนิ้ง!”

อาโยออกมาเปิดประตูรั้วหลังจากฉันกดกริ่งไปสองครั้ง ทำหน้าตกใจแกมอึ้งที่เห็นฉัน มือรีบดึงประตูรั้วออก เดินออกมาคว้ามือฉันไปจับเอาไว้มองสารรูปฉันด้วยท่าทางสับสน

“คะนิ้งจริงๆ ด้วย....”

“อาโย พ่อละค่ะ”

“ไปทำงานน่ะลูก คะนิ้งหายไปไหนมาตั้งหลายวัน รู้ไหมอากับพ่อเป็นห่วงแค่ไหน”

“เอ่อ อาโยคะค่าแท็กซี่”

“อ้อ....” อาโยมองแท็กซี่ที่เปิดไฟกะพริบอยู่ด้านหลังฉันอย่างเข้าใจ ชะโงกหน้าไปบอกคนขับให้รอครู่หนึ่งแล้วค่อยหันกลับมาจูงมือฉันเข้าบ้าน

“คะนิ้งนั่งรอนี่นะ อาเอาเงินไปจ่ายค่ารถให้”

ฉันพยักหน้าหลังจากถูกอาโยจับตัวให้นั่งลงบนโซฟาในห้องโถงชั้นล่าง รอแป๊บหนึ่งร่างอวบอิ่มได้ทรวดทรงในวัยสามสิบปลายก็เดินกลับเข้ามา ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ

“คะนิ้ง.... ไหนเล่ามาสิมันเกิดอะไรขึ้น”

อาโยมองสำรวจเนื้อตัวฉันแล้วเอ่ยถามตรงๆ ฉันมองสบแววตาเป็นห่วงเป็นใยของคนตรงหน้าอย่างรู้สึกจุกตันในคอ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ดีใจที่กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยแต่อีกใจก็หวาดกลัวที่จะเล่าความจริง ถ้าอาโยรู้ว่าฉันหายไปเพราะเพนนีเป็นสาเหตุอาโยจะรู้สึกยังไง.... ฉันไม่อยากทำให้ครอบครัวมีปัญหา

พอเห็นฉันอ้ำอึ้งเอาแต่อมพะนำไม่ยอมพูดออกมาสักที อาโยก็เอ่ยขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว

“ประมาณสามสี่วันก่อนคุณพี่บอกว่าคะนิ้งไลน์มาว่าไปออกค่ายต่างจังหวัด แต่อากับคุณพี่คิดว่ามันแปลกๆ เกรงว่าจะเกิดอะไรไม่ดีกับคะนิ้ง นี่อาดีใจนะที่หนูกลับมาบ้านแต่ว่าทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะ นี่มันเสื้อผ้าผู้ชายไม่ใช่เหรอ?”

“เอ่อ.... นิ้ง.... นิ้งยืมเพื่อนมาใส่ค่ะอาโย”

“เพื่อน? นิ้งอยู่กับเพื่อนผู้ชายเหรอ”

“อึก ปะเปล่า.... คือ” ฉันมองสบสายตาจ้องจับผิดของอาโยนิ่ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าริกกี้ไลน์มาบอกอะไรกับพ่อฉัน แต่ถ้าเป็นอย่างที่อาโยพูดงั้นก็คิดหาคำแก้ตัวง่ายหน่อย

“ใช่ค่ะ นิ้งไปออกค่ายที่ต่างจังหวัด มันปุบปับมากค่ะ ขนาดนิ้งยังงงๆ อยู่เลย แล้วตรงที่ไปก็ไม่ค่อยมีสัญญาณด้วยก็เลยไม่ได้ติดต่อ ซวยกว่านั้นคือนิ้งทำโทรศัพท์กับกระเป๋าตังค์หาย เสื้อผ้าก็ยืมของเพื่อนใส่ นิ้งลำบากจริงๆ นะคะอาโย”

อาโยฟังที่ฉันปั้นน้ำเป็นตัวนิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันมองสีหน้าเคร่งเครียดของอาโยอย่างลุ้นตามว่าจะเชื่อหรือเปล่า เพราะฉันไม่เคยพูดโกหกเลย อาจจะโดนจับพิรุธก็ได้

“โถลูก.... เป็นแบบนี้เองเหรอ” เธอลูบหัวฉันอย่างเห็นใจ

นี่คือ.... เชื่อแล้วใช่ไหม?

ฉันกะพริบตาปริบ ยิ้มเจื่อนๆ ให้อาโยอย่างรู้สึกผิดที่ไม่ได้เล่าความจริง แต่ถ้าพ่อกับอารู้ว่าฉันโดนยิงมาคงวุ่นวายแน่ๆ ดีไม่ดีอาจต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ฉันไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แค่ได้กลับบ้านก็รู้สึกขอบคุณมากแล้วจริงๆ หวังว่าหลังจากนี้จะไม่ได้เจอกับหมอนั่นอีก ช่วยหายไปจากชีวิตฉันทีเถอะริกกี้

หลังจากนั้นอาโยก็ไล่ฉันให้มาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและพักผ่อน ฉันทำตามอย่างไม่อิดออด เพราะรู้สึกเหนื่อยอยู่แล้ว อาบน้ำเสร็จพอดี เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“อาคิดว่านิ้งน่าจะหิวก็เลยยกอาหารมาให้จ้ะ”

ประตูไม่ได้ล็อก และอาโยก็เปิดเข้ามาหลังเคาะเรียกสองทีโดยไม่ได้รอให้ฉันเอ่ยปากบอก ฉันกำลังนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจกหันไปมอง อาโยวางถาดอาหารลงบนโต๊ะโซฟาในห้อง

“อะไรอ่ะ เยอะแยะเลย”

“สปาเกตตีกับคัพเค้ก อาเพิ่งอบเสร็จเมื่อเช้า สดใหม่เลยนะ ทานเยอะๆ ล่ะถ้าไม่อิ่มมีอีกในครัว”

“น่าทานมากๆ” ฉันหยิบคัพเค้กที่เป็นหน้าผลไม้รวมขึ้นมากัดอย่างรู้สึกหิว เคี้ยวหง่ำๆ เต็มปาก กลืนทีนี่ถึงกับเจ็บแปล๊บที่หน้าอก ลืมตัวว่ามีแผลอยู่....จะทำอะไรก็ต้องทำเบาๆ จะได้ไม่สะเทือน เมื่อกี้ที่อาบน้ำอย่างลำบาก ต้องคอยกันน้ำไม่ให้มาโดนแผล แต่ก็มีแอบโดนบ้างแบบควบคุมไม่ได้จริงๆ

“เป็นไงอร่อยไหม?”

“อื้ม มากที่สุดค่ะ” ฉันยกนิ้วให้อาโย วางห่อคัพเค้กที่เหลือแต่เปลือกลง ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มล้างคอแล้วหันไปหยิบส้อมจิ้มสปาเกตตีต่อ อาโยมองฉันทานเงียบๆ ด้วยสายตาเอ็นดูครู่หนึ่งก็ขอตัวลงไปทำอะไรต่อข้างล่าง พอทานข้าวอิ่ม ฉันไม่ลืมหายาแก้ปวดทานแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ยกมือที่มีรอยเข็มน้ำเกลือขึ้นมอง พอกลับมาอยู่บ้านแล้วเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงฝันร้ายเลยแฮะ

ฉันจับแผลที่อกตัวเองเบาๆ คิดไปคิดมาก็นึกได้ว่าลืมถามเรื่องเพนนีจากอาโยเลยแฮะ ไม่รู้ยัยนั่นจะกลับมาบ้านหรือยัง ฉันลดมือที่มีรอยเข็มลง หลับตาและเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงอาโยเรียกใกล้ๆ

“คะนิ้ง.... มีเพื่อนมาหาน่ะลูก”

“คะ? ใครน่ะ”

ฉันงัวเงียลุกขึ้น มองหน้าอาโยอย่างมึนงง นึกไม่ออกว่าใครมาเพราะฉันไม่ได้บอกใครเลยเรื่องที่หายตัวไป จะมีก็แต่ยัยเค้ก.... แต่ตอนที่โทรไปฉันใช้โทรศัพท์ห้องริกกี้แถมไม่ได้คุยกันสักแอะเลยด้วยซ้ำ

เพราะงั้นตัดยัยเค้กออกไปได้เลย ถึงแบบนั้นก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี ฉันพยักหน้าให้อาโยอย่างเข้าใจ ลุกเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเสร็จค่อยเดินลงมาข้างล่าง หัวยังไม่หายตึงเลยด้วยซ้ำ

“....อาไม่เคยเห็นหน้าเลยนะ แต่ปกติคะนิ้งก็ไม่ค่อยพาใครมาที่บ้านอยู่แล้ว เป็นเพื่อนในคณะกันเหรอ”

“ครับ”

เสียงพูดคุยดังมาให้ได้ยิน ฉันหยุดยืนอยู่หน้าห้องโถงร่างกายแข็งทื่อ.... หัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อปะทะสายตาเข้ากับคนที่นั่งคุยอยู่บนโซฟากับอาโยอย่างลอยหน้าลอยตา

ริกกี้

“อ่ะ คะนิ้งมาแล้ว.... งั้นอาให้ทั้งสองคุยกันดีกว่าเนอะ ตามสบายนะจ๊ะ ถ้าอยากได้ขนมเพิ่มก็บอกคะนิ้งนะอาขอตัวไปทำงานบ้านก่อน”

“ครับ”

ริกกี้เอ่ยอย่างสุภาพ รอยยิ้มใสซื่อแบบนั้นไม่เหมาะกับใบหน้าเจ้าเล่ห์ของเขาเลยสักนิด ฉันมองอาโยเดินออกไปอย่างใจหายใจคว่ำ อยากจะขอความช่วยเหลือแต่ปากมันไม่ยอมขยับเหมือนมีอะไรกดถ่วงเอาไว้ จนร่างของอาโยหายวับไปจากประตู ริกกี้ก็ส่งสายตาเย็นยะเยือกมาทางฉันทันที ฉันหันหลังกลับจะวิ่งหนีขึ้นห้องก็โดนหมอนั่นที่ไม่รู้ลุกจากโซฟาตั้งแต่เมื่อไหร่ถลันเข้ามาคว้าแขนเอาไว้

“คิดว่าจะหนีพ้นเหรอ”

“ปล่อย! นี่มันบ้านฉันนะ”

“แล้วไง?”

ริกกี้พูดด้วยเสียงที่กดต่ำ จ้องฉันด้วยสายตาดุดัน ฉันเม้มริมฝีปากแน่นพยายามแกะมือเขาออกอย่างกระวนกระวาย ทั้งหวาดกลัวคนตรงหน้า ทั้งกังวลว่าอาโยจะเข้ามาเจอ

“นายต้องการอะไร”

ฉันพยายามตั้งสติ มองเขาด้วยสีหน้าเจ็บปวด ริกกี้แสยะยิ้มเลือดเย็นกระชากฉันเข้าไปใกล้ยิ่งกว่าเดิมจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆ ของเขา

“เธอไง”

ฉันสะดุ้งเฮือกเพราะแรงกระชากกะทันหันของริกกี้

“ไปกับฉัน!”

“นี่! ปล่อยฉันนะ” ฉันขัดขืน แต่ทุกครั้งที่ดึงรั้งและสะบัดข้อมือแผลที่อกก็จะปวดหนึบ เรี่ยวแรงที่มีก็ลดฮวบลงไปอีก สุดท้ายก็โดนลากออกมาถึงรั้วหน้าบ้านโดยที่อาโยอยู่ในบ้านไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด ฉันก็ไม่กล้าโวยวายเสียงดังเพราะไม่อยากให้อาโยแตกตื่น

นี่ฉันเรียงลำดับความสำคัญอะไรผิดไปไหมเนี่ย อันที่จริงฉันควรจะห่วงความปลอดภัยของตัวเองก่อนนะ

“อาโยช่วยอุ๊บ! อื้อ~~”

พอฉันคิดจะร้องให้อาโยช่วยริกกี้ก็เอามืออุดปากฉันราวกับรู้ทัน ฉันดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของหมอนั่นอย่างไม่ยอม จนเผลองับนิ้วที่เหลื่อมเข้ามาในปากไปเต็มเขี้ยว

“โอ๊ย!”

หมอนั่นตะโกนคำหนึ่ง ดึงมือออกไปสะบัดไล่ความเจ็บ แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้เปล่งเสียงตะโกน ริกกี้ก็คว้าต้นคอฉันไปปิดปากด้วยปากของเขาแทบจะทันที

อึก....

ริมฝีปากอุ่นชื้นเบียดแทรกเข้ามาปิดช่องว่างจนไม่เหลือพื้นที่ให้ลมลอดผ่าน ฉันเบิกตากว้าง เมื่อรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น รีบผลักไสหมอนั่นออกไป พอฉันเริ่มขัดขืนริกกี้กลับล็อกคอฉันแน่นขึ้นแล้วยัดลิ้นพรวดเข้ามาในปากไล่ต้อนรัดดึงกับลิ้นฉันอย่างดุเดือด ฉันขยุ้มอกหมอนั่นแน่นอย่างอกสั่นขวัญแขวน ทั้งอึดอัดและหายใจไม่ออก น้ำลายเหนียวๆ ไหลออกทางมุมปากทั้งสองอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ริมฝีปากถูกดูดกัดจนบวมเบ่งไปหมด พอริกกี้ผละออกห่างฉันก็แทบทรุดลงบนพื้นแต่เขารั้งท่อนแขนฉันเอาไว้ทำให้แค่เซไปชนกับอกแกร่งของเขาแทน

“ปล่อย!”

ฉันสะบัดแขนออกจากการจับกุมของหมอนั่นแต่เป็นฉันที่เจ็บตัวเองเพราะมันดันกระเทือนแผลที่อก จ้องหน้าริกกี้อย่างรังเกียจน้ำตาคลอเบ้า

“ทำบ้าอะไรของนาย โอ๊ย!”

ริกกี้คว้าข้อมือฉันไปจับแล้วกระชากให้เดินตามมาที่รถโดยไม่คิดจะพูดอะไรสักคำ สีหน้าของเขาเรียบตึงเหมือนไม่รู้สึกอะไรค่อนไปทางน่ากลัวหน่อยๆ

“ปล่อยนะ ว้าย!”

พลั่ก!

เขาเหวี่ยงฉันเข้ามาในรถ ร่างฉันอัดเข้ากับเบาะเต็มแรง จุกจนพูดไม่ออก ระหว่างนั้นร่างสูงก็เดินเร็วๆ ไปที่ประตูอีกฝั่งรู้สึกตัวอีกเขาก็เข้ามานั่งที่เบาะคนขับและรถก็ทะยานออกไปอย่างไว รวดเร็วจนฉันไม่มีโอกาสหนี แค่ขยับตัวให้เข้าที่เข้าทางเท้าหมอนั่นก็แตะคันเร่งไปแล้ว

“นี่นายจะพาฉันไปไหนน่ะ จอดรถเดี๋ยวนี้นะ”

ฉันโวยวายอย่างร้อนรน แต่ริกกี้ก็ไม่มีท่าทีว่าจะสนใจ เขายังคงมองตรงไปข้างหน้าด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง

“นี่!” ฉันขึ้นเสียงแหลมอย่างหมดความอดทน

“หุบปาก ถ้าไม่อยากตาย”

ไอ้บ้านั่นตะคอกกลับมาทีเดียวทำเอาฉันสะดุ้งไหว จ้องมองใบหน้าด้านข้างที่แข็งยะเยือกของเขาหัวใจสั่น ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ หมอนี่ถึงไปโผล่ที่บ้านฉันได้แล้วเขารู้ที่อยู่ฉันได้ไง?

บทก่อนหน้า
บทถัดไป