บทที่ 11 เศษเสี้ยวแห่งความทรงจำ

หกโมงเช้าคนเป็นแม่เปิดประตูเข้าห้องนอนเห็นบุตรสาวนั่งชันเข่าในสภาพหลับนก เธอรีบจับท่อนแขนลูกเขย่าๆ เบาเพื่อปลุก

“พลอยตื่นได้แล้วลูก”

เด็กสาวสะดุ้งลืมตาขึ้นมา คนเป็นแม่เห็นคราบน้ำตาและขอบตาแดงก่ำ เข้าใจว่าคงร้องไห้ทั้งคืน

“ไปโรงเรียนเถอะ”

“ค่ะแม่”เด็กสาวลุกยืนแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำราวกับคนละเมอ

พิมลตราส่ายหน้า อีกนานแค่ไหนลูกจะทำใจได้

ร่างเล็กออกจากห้องน้ำแต่งชุดนักเรียนแล้วลงมาจากชั้นบน แม่รีบดึงให้นั่งลงบนเก้าอี้เพื่อทานอาหารเช้า เธอตักข้าวต้มหมูเข้าปากสองสามคำแล้ววางช้อนลง

“พลอยไปเรียนก่อนนะคะแม่”เธอบอกเสียงแผ่วแล้วเดินออกมาจากบ้าน

พิมลตรารีบเร่งฝีเท้าตามก่อนรั้งแขนลูกไว้ “พลอยมีสติหน่อย เงินก็ไม่เอาแล้วจะขึ้นรถเมล์ยังไง วันนี้แม่จะไปส่ง”

คนเป็นแม่กลับเข้าบ้านหยิบกระเป๋าสะพายแล้วล็อกประตูเรียบร้อย  ส่งลูกถึงหน้าโรงเรียนมองแผ่นหลังบอบบาง ลูกไม่ค่อยกินอะไร แววตาเหม่อลอยช่วงนี้เธอคงต้องดูแลสักระยะเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตให้ได้ พิมลตราหันหลังกลับออกจากโรงเรียนคืนนี้คงต้องทำงานต่อ แต่คงต้องมารับลูกกลับด้วย พลาดพลั้งโดนรถชนไปเธอคงทำใจไม่ได้เพราะมีกันอยู่เพียงสองคนเท่านั้น

พลอยภัทราเดินเหม่อมาถึงห้องเรียน มันเป็นเพียงความเคยชินทำให้เธอมาหยุดอยู่ตรงนี้ และแล้วเมื่อมองโต๊ะเรียนที่เพื่อนสนิทที่สุดอย่างมิรินเคยนั่งมันทำให้ใจปวดร้าวขึ้นมา ร่างเล็กหย่อนกายลงบนเก้าอี้ท่าทีเหนื่อยอ่อนอยากร้องแต่จำต้องกลั้นมันไว้ ไม่อยากมองใคร ไม่ต้องการได้ยินอะไร ไม่สนใจสายตาใครทั้งนั้น

เสียงฝีเท้าตามมาด้วยร่างอวบหยุดยืนตรงหน้า เธอช้อนสายตามองเห็นเต็มเดือนกำลังจ้องมองมา แต่แววตาครานี้ไม่เหมือนเช่นทุกที พลอยภัทราเมินมองทางอื่นไม่ว่ามาดีหรือมาร้าย หรืออยากทำร้ายกันเหมือนเช่นก่อนๆ ก็เชิญตามสบายเธอจะไม่ตอบโต้อะไรทั้งนั้น

“ฉันเก็บสมุดการบ้านที่ครูตรวจไว้ให้ รับไปสิ”เด็กสาวรับมา มองอย่างไม่เชื่อสายตาว่าเพื่อนคนนี้จะยอมอ่อนลง

“ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าฉันทำทำไม ถึงยังไงฉันก็ไม่ได้อยากให้มีใครตายสักหน่อย”เต็มเดือนบอกเสียงแผ่ว

เพื่อนในห้องเริ่มมารวมตัวกันที่โต๊ะของเธอ แต่ละคนแสดงถึงความเห็นอกเห็นใจ แต่สำหรับพลอยภัทรามันเหมือนก่อนไม่มีผิด มิรินเป็นฝ่ายช่วยเธอไว้อีกแล้ว ที่ทุกคนหันมายอมรับเธอเพราะเพื่อนสนิทอย่างริน พอนึกถึงน้ำตามันเอ่อล้นออกมาอีกครั้ง ถึงไม่อยากร้องแต่ห้ามไม่เคยได้เลย

“ใจเย็นนะพลอย ไม่มีมิรินพวกเราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้”เพื่อนในห้องบอก

เธอสะอื้นซบหน้ากับโต๊ะ เพื่อนนักเรียนร่วมห้องพากับปลอบ การสูญเสียสิ่งสำคัญสร้างความเจ็บปวดให้มากจริงๆ นานแค่ไหนกันนะที่เธอจะทำใจได้ ตอนนี้เธออยากบอกครอบครัวลุงรุตม์ว่าคิดถึงเหลือเกิน

ทันทีที่เท้าเหยียบย่างบันได ด้านหน้าคฤหาสน์หลังงาม เด็กหนุ่มกวาดสายตามองรอบๆ ด้วยความสับสน ตนเองคิดผิดหรือถูกที่มาอาศัยชายคาบ้านหลังใหญ่  ไหล่เขาถูกโอบให้เดินมาถึงห้องรับแขก เห็นหญิงสาววัยเดียวกับมารดากำลังนั่งอยู่ มีเด็กรุ่นเดียวกับเขาร่วมวงอยู่ด้วย

ชัยเชษฐ์รั้งท่อนแขนเด็กหนุ่มให้เดินตาม สายตาสามคู่มองมา เวธัสก้มหน้างุดรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที

“คุณวิผมฝากเด็กคนนี้ด้วยนะ”

“เด็กคนนี้เหรอคะที่คุณบอก”

“ใช่ ผมจะรับเขาเป็นลูกบุญธรรม”

วิไลวรรณสาวเท้ามายืนใกล้ แล้วยิ้มอ่อนโยน

“ไม่เป็นไรนะเวย์ มาอยู่กับพวกเรานะ”

เด็กหนุ่มเงยหน้า มองใบหน้าของหญิงสาวคราวแม่ เห็นท่าทีอ่อนโยน แววตาจริงใจ เด็กหนุ่มยกมือกระพุ่มไหว้

“ขอบคุณครับ”

“นนท์ กับดา ต่อไปนี้เวย์จะมาเป็นครอบครัวเรานะ”

“ครับพ่อ” “หนูรู้แล้วค่ะพ่อ”

เวธัสหันมองเด็กหนุ่มอายุไม่น่าห่างจากเขาสักเท่าไหร่ กับเด็กสาวอีกคน ดูท่าสองคนนี้คงเป็นนักเรียนมัธยมปลาย เป็นพี่น้องกันคงเป็นลูกของเพื่อนพ่อ

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับพ่อ”ชญานนท์บอกแล้วปลีกตัวออกมา

ชนิดายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เดินเข้ามาใกล้เวธัสแววตาซุกซน

“อายุเท่าไหร่เหรอ”ชนิดาถาม

“อายุสิบหก”

“เป็นพี่สินะ ดาอายุสิบห้า พี่นนท์อายุสิบเจ็ด”

“ครับ”เขาตอบรับ พยายามหลบเลี่ยงสายตาซุกซนของอีกฝ่าย

ชัยเชษฐ์หันมาทางภรรยา เมื่อเห็นลูกเข้ากันได้ดีอย่างไม่มีปัญหาอะไร

“ผมฝากด้วยนะคุณวิ ผมมีประชุม”เขาบอกภรรยา แล้วสาวเท้าออกนอกบ้านทันที เด็กหนุ่มชะงักด้วยความตกใจจนชนิดาหัวเราะคิก

“ไม่ต้องกลัวหรอก แม่ไม่ทำอะไรนายหรอกนะ”

“ผมไม่ได้กลัว!”

วิไลวรรณหันมองเด็กหนุ่ม แล้วเอ่ยถาม

“ทานอะไรมาหรือยังเวย์”

เขาไม่ตอบเพียงแต่ส่ายหน้า เธอมองดูด้วยความเวทนา ทราบข่าวจากสามีเกี่ยวกับโศกนาฏกรรม

บทก่อนหน้า
บทถัดไป