บทที่ 9 ที่มาของพลัง

งานศพถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ทางญาติต่างไม่ได้ติดต่อกันมานานพากันมาร่วม ทรัพย์สินก็แทบไม่มีแต่ละคนทำงานหาเช้ากินค่ำทั้งนั้น เมื่อมีเรื่องของหลานชายมาเกี่ยวข้อง จึงมีการถกเถียงกันอย่างหนัก พลอยภัทรามองพี่ชายเพื่อนทั้งน้ำตา เธอเห็นแววตาเศร้าหมอง สีหน้าเหม่อลอยราวกับคนไร้ความรู้สึก แม้มีคนมากมายพยายามพูดคุยด้วย แต่พี่เวย์ไม่เอ่ยปากออกมาเลยสักคำ เพื่อนๆ ต่างมาร่วมงาน โดยที่ผู้กำกับรับเป็นเจ้าภาพ รวมถึงเพื่อนบิดาที่เคยมายังที่บ้านด้วย

เวธัสชำเลืองมองทางชายร่างสันทัด พ่อเคยแนะนำว่าเขาคือเพื่อนชื่อเทพ เขาไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง เพียงแค่เดินสติก็ดับวูบลงตื่นมาอีกทีก็อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว และข่าวว่าครอบครัวเสียชีวิตทั้งหมด หัวใจเหมือนถูกควักออกจากร่าง ร้องจนไม่มีน้ำตา เจ็บจนพูดไม่ออกไม่อยากตอบคำถามใครๆ

เสียงผู้คนเริ่มฮือฮาเมื่อชายคนหนึ่งเดินเข้ามา มีการกระซิบกระซาบกันว่าเขาเป็นถึงเจ้าของห้างดัง เศรษฐีระดับต้นของเมืองไทย ชัยเชษฐ์ นฤวัตปกรณ์ หนุ่มวัยห้าสิบสองหน้าตายังคงดูหนุ่มแน่น ท่าทางภูมิฐาน ญาติต่างพากันเชื้อเชิญให้นั่งเก้าอี้สำหรับเจ้าภาพ เวธัสหันมองและสบตากับเขา

“ลูกชายวิรุตม์ใช่ไหม”เขาถามแววตาอ่อนโยน

เวธัสนิ่งครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าตอบรับ

“ทุกคนบนโลกนี้ไม่มีใครไม่ตายหรอกนะ เพียงแต่จะตายเมื่อไหร่เท่านั้นเอง”

เด็กหนุ่มนิ่งเงียบ กัดริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้ภายใน

“เสียใจได้แต่อย่าท้อนะ เรายังมีชีวิตอยู่ อย่าทำให้คนตายต้องเศร้า”

เวธัสพูดไม่ออก เป็นครั้งแรกที่รู้สึกชื่นชมใครสักคนด้วยใจจริง หากชายคนนี้เป็นเพื่อนพ่อ เขาดีใจไม่น้อยที่ได้รู้จัก จบงานทุกคนพากันแยกย้ายกลับ เวธัสนั่งตรงที่เดิมความเจ็บปวดเดินเข้ามาหาตนเองอีกครั้ง ไหล่เด็กหนุ่มถูกบีบเพื่อให้กำลังใจ

“อดทนนะ”เป็นคำพูดสั้น แต่เวธัสรับรู้ถึงความนัย

เด็กหนุ่มยืนนิ่งเมื่อญาติๆ ต่างพากันช่วยเก็บล้างทำความสะอาด อนาคตต่อจากนี้เขาเองไม่รู้ควรเริ่มตรงไหน จะมีใครรับเลี้ยงบ้างในเมื่อทุกคนต่างมีลูก และต้องรับผิดชอบอะไรหลายอย่าง คิดถึงพ่อกับแม่และน้องสาวมากเหลือเกิน เวธัสฟุบหน้าลงกับโต๊ะแล้วผล่อยหลับไปต่อหน้าครอบครัวซึ่งไร้ลมหายใจ

งานคงดำเนินต่อจนถึงวันสุดท้าย ซึ่งเป็นวันเผาเวธัสยืนมองภาพแขกมร่วมงานค่อยๆ วางดอกไม้จันทน์ เด็กหนุ่มยังคงเงียบขรึมไม่พูดจาเหมือนเดิม ความจริงเขาเคยคิดหากจบชีวิตตามครอบครัวไปคงดีไม่น้อยเลย เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นถึงเวลานำหีบศพเข้าสู่เตา ได้ยินเสียงแว่วว่าไม่ต้องทำการเผาอะไรมากเลยเพราะศพนั้นถูกเผามามากพอแล้ว

เวธัสน้ำตาซึมมองดูควันลอยออกจากปล่องด้วยความอาลัย ในวัยเพียงแค่นี้เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร หากปราศจากครอบครัวอันเป็นที่รัก ศีรษะถูกลูบอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบประโลม

“ไปอยู่กับลุงไหม ไปอยู่ด้วยกัน”

เด็กหนุ่มนิ่งเงียบ มองสบตาชายคนนี้

“ทำไมล่ะครับ ทำไมถึงอยากให้ผมไปอยู่ด้วย”

“เพราะลุงเป็นเพื่อนพ่อเวย์ยังไงล่ะ ลุงเคยได้รับการช่วยเหลือจากพ่อเวย์มาก่อน”

“จะดีเหรอครับให้ผมไปอยู่ด้วย”เวธัสถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

“ดีสิเวย์ ไปอยู่กับลุงเถอะ ถ้าหากไม่มีใคร ลุงจะรับเวย์เป็นลูกบุญธรรมเองนะ”

เขาพยักหน้าช้าๆ เป็นการตอบรับ การได้อยู่กับเพื่อนพ่อคนนี้คงดีกว่าอยู่กับญาติที่เคยเห็นหน้ายามทุกข์ยากมาขอยืมเงินพ่อ พ่อดีแล้วหนีหาย ได้ยินถึงการถกเถียงเกี่ยวกับการนำเขาไปเลี้ยง หากไปอยู่กับเพื่อนพ่อคงตัดปัญหาทั้งหมดได้

เมื่อถึงเวลาจัดเก็บเถ้ากระดูก เวธัสนำโกศสามอันมาวางเรียงคลองพวกมาลัยอย่างสวยงาม ก่อนนำเถ้าที่เหลือไปลอยยังแม่น้ำ แววตาเด็กหนุ่มเศร้าหมองเขาต้องพยายามอดทนต่อสู้กับความเจ็บปวดรวดร้าวของตนเอง ไม่อยากทำให้คนตายต้องมาทุกข์ใจ จะมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อรอวันนั้นวันที่ความจริงเปิดเผย

ในวันที่เกิดเรื่องเขารับรู้ทุกอย่างแต่ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะช่วยเหลือครอบครัวได้ เห็นผ่านสายตาครอบครัวไม่ได้จบชีวิตเพราะอัคคีภัยแต่มันเป็นการฆาตกรรมต่างหาก พวกมันทั้งหมดต้องชดใช้ต่อครอบครัวเขา รออีกหน่อยไม่กี่ปีเขาจะกลับมาและเอาคืนทั้งหมด

เด็กหนุ่มกลับมาจากการลอยอังคารเห็นเครือญาติยืนเกาะกุมรวมตัวกัน เวธัสพยายามเลี่ยงทางอื่นแต่กลับถูกดักญาติพี่น้องกรูกันมายืนข้างหน้า

“เวย์ ไปอยู่กับอาเถอะลูก อาจะส่งเรียน”เด็กหนุ่มถูกรั้งแขนทันที

“ผมไม่ไปครับ”เวธัสปฏิเสธทันที

“งั้นมาอยู่กับน้าดีกว่า ไปอยู่ที่บ้านสวนกัน”ป้าที่เคยมาหยิบยืมเงินพ่อเป็นคนบอก เด็กหนุ่มรู้สึกเอือมระอา

“ผมไม่ไปกับใครทั้งนั้น!”เขาตะโกนลั่นจ้องมองบรรดาเครือญาติสีหน้าไม่พอใจ

ในใจรู้ดีว่าคิดอะไร พ่อรับราชการเสียชีวิตมีเงินมากมายรออยู่ แถมเงินประกันอีกหลายล้านบาท มีหรือญาติจะไม่รุมตอมเขาราวกับเหยื่ออันโอชะ แต่เขาไม่ได้โง่โตพอจะรู้อะไรเป็นอะไร พอสูบจนหมดสุดท้ายก็คงปล่อยเขาเผชิญชะตากรรมเพียงคนเดียว

“ถ้าหลานไม่ไปอยู่กับพวกน้า พวกอา พวกป้า แล้วหลานจะไปอยู่กับใคร!”

“ผมจะไปอยู่กับเพื่อนพ่อ”

บรรดาญาติเงียบกริบ หันมองทางชัยเชษฐ์ที่ก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง แล้วโอบไหล่เด็กหนุ่มไว้

“ผมจะรับเวย์เป็นลูกบุญธรรมครับ”

“ลูกบุญธรรม!”ทุกคนร้องเป็นเสียงเดียว

“ใช่ครับ คุณวิรุตม์มีบุญคุณต่อผม ผมต้องการตอบแทนเขา ผมขอรับเลี้ยงเวย์เอง”

“แน่ใจแล้วเหรอเวย์”ทางญาติยืนยันอีกครั้ง

“ผมแน่ใจแล้ว”

“ก็ตามใจ”ทุกคนพากันแยกย้ายออกไป

บทก่อนหน้า
บทถัดไป