บทที่ 18 บทที่ 9 วิวาห์ล่ม (50%)

บทที่ 9 วิวาห์ล่ม

“ขอโทษ…”

โน้ตสั้น ๆ ที่บรรจงเขียนด้วยลายมือถูกวางลงบนชุดเจ้าบ่าวบนเตียง ดวงตาคมกล้าหม่นแสงลงยามทอดมองไปรอบกายอีกครั้ง

การตัดสินใจพลิกฝ่ามือตนเองในครั้งนี้ ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะจบลงเช่นไร ความสัมพันธ์ระหว่างวรโชติพงศ์ และเลิศวรานนท์อาจขาดสะบั้น ทว่า… ช่วงเวลาทั้งชีวิต และความสุขของเขาในวันข้างหน้าไม่อาจแลกมากับสิ่งของที่ไม่อาจจับต้องได้

“มาวิน” เสียงของคริสดังขึ้นข้างหู ร่างสูงใหญ่เดินมาหยุดยืนข้างกายเพื่อน ตบไหล่หนาเบา ๆ แล้วพยักพเยิดไปที่ประตู

“ไปเถอะ”

มาวินถอนหายใจ หมุนกายเดินจากไปโดยไม่หันกลับมาอีกเลย

คริสเร่งร้อนตามไป ทั้งคู่เดินลัดเลาะออกไปยังประตูหลังบ้าน ฝ่าความมืดมิดของท้องฟ้ายามราตรีออกไปอย่างไร้จุดหมาย

มาวินไม่ชะลอฝีเท้า กายสูงยาวสะท้านไหวจนไหล่สั่น หากก็ยังมุ่งหน้าสู่เส้นทางที่ตนเลือก!

คริสมองเพื่อนแล้วลอบถอนหายใจ จากที่รับรู้มา นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มาวินคัดค้านมารดา

เมื่อเดินออกมาใกล้ถึงประตูหลังบ้านก็พบบ้านหลังกะทัดรัดอีกหลังตั้งอยู่

มาวินขมวดคิ้ว หยุดฝีเท้าแล้วมองเข้าไปในตัวบ้าน เห็นแสงไฟจากห้องห้องหนึ่งเปิดอยู่ ร่างเล็กแปลกตาเดินออกมายังประตูหน้าบ้าน ด้วยยืนเยื้องมาเล็กน้อย เขาจึงไม่ทันมองเห็นใบหน้าของคนตัวเล็ก เห็นเพียงร่างนั้นก้ม ๆ เงย ๆ กับกระถางดอกไม้ ก่อนจะอุ้มแมวสีขาวตัวกลมขึ้นแล้วเดินกลับเข้าบ้านไป

ชายหนุ่มหันขวับกลับมา เอ่ยถามเสียงเยียบเย็นทันที

“ไหนบอกวางยาทุกคนแล้วไง”

“เอ่อ” คริสเกาหัว มึนงงเหมือนกัน ที่พบว่ามีบ้านอีกหลังอยู่ตรงนี้ แถมคนตัวเล็กเจ้าของสถานที่ยังเดินไปเดินมารอบบ้านอีกด้วย

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

มาวินสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยเสียงห้วนออกคำสั่งอย่างว่องไว

“ออกประตูหลังไม่ได้แล้วต้องปีนกำแพง”

เขาพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิด หันกลับมาจ้องบ้านหลังน้อยหลังบ้านตนแล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเจ้าของบ้านอยู่ในใจ พ่นลมหายใจอีกครั้ง หมุนตัวกลับไปยังเส้นทางเดิมด้วยอารมณ์คุกรุ่น ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีคนตื่น เขาก็คงไม่ต้องลำบากลำบนปีนรั้วบ้านตัวเองแบบนี้!

คริสมองออกว่าเพื่อนหัวเสียหนัก เมื่อพบต้นไม้พอเหมาะที่สามารถปีนถึงกำแพงบ้านได้ก็เสนอ

“งั้นฉันไปก่อนนะ จะได้รอรับนาย”

มาวินหันขวับกลับมา ดวงตาวาววับ ก่อนเบี่ยงกายหลบ

“เชิญ!” เสียงห้วนสั้นบอกอารมณ์ส่งผลให้คริสต้องหัวเราะแห้ง ๆ กระโดดขึ้นต้นไม้ ปีนป่ายไม่นานก็ถึงกำแพงบ้าน ก่อนกระโดดลงอีกฝั่งก็ไม่ลืมหันมาร้องบอกเพื่อนอย่างใจดี

“นายมาได้เลย ฉันจะลงไปก่อนละนะ”

มาวินไม่ได้ยินด้วยซ้ำ เมื่อสายตาคมกล้าสะดุดกับแสงไฟสว่างไสวจากบ้านหลังน้อยหลังนั้น ร่างผอมบางกำลังก้ม ๆ เงย ๆ ทำบางอย่าง

ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว เขม็งมองอย่างตั้งใจ กระทั่งพบว่า…

คนตัวเล็กในบ้านกำลังถลกเสื้อยืดตัวนอกออกจากลำตัว แม้จะเห็นเพียงเงา แต่ภาพวาบหวามเช่นนี้ ไม่ต้องจินตนาการลำบากเลย ชายหนุ่มเผลอกลืนน้ำลายลงคอ กำลังจะเพ่งสายตามองฝ่าความมืดไปพินิจ

“มาวิน!”

เสียงร้องเรียกของคริสเรียกความตื่นตกใจจากคนถ้ำมอง จนกายสูงสะดุ้งโหยง ละสายตาจากภาพตรงหน้า ปัดจินตนาการของตนทิ้ง

“อะแฮ่ม” กระแอมเบา ๆ แล้วกระโดดขึ้นต้นไม้ตามไป

ทว่ากระโดดไปแขวนอยู่บนกิ่งไม้ได้ก็ยังเผลอตัวสาดสายตากลับมาที่เดิมอีกครั้ง ก่อนดวงตาคมกล้าที่เพิ่งหันกลับมาจะเบิกกว้างขึ้นเมื่อพบว่าบานหน้าต่างเปิดออกพร้อมใบหน้าจิ้มลิ้มที่โผล่ออกมากวาดสายตามองไปรอบๆ มาวินลมหายใจสะดุด หยุดความคิดทุกอย่างแล้วปีนหนีทันที

“ฮึ” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ นึกฉงนในใจยัยตัวจ้อยความรู้สึกไวใช้ได้เลย คิดแล้วก็ส่ายหน้ายิ้ม ก่อนทิ้งกายลงสู่อีกฝั่งของกำแพง

เช้านี้คนทั้งบ้านตื่นเต้นไม่พอ คนนอกบ้านก็มาช่วยตื่นเต้นอีกหลายคน อัยรินมองไปมองมา คนโน้นคนนี้ตระเตรียมงานหลายต่อหลายอย่าง แต่หญิงสาวกำลังว้าวุ่นใจมากกว่าตื่นเต้นไปกับคนอื่นๆ

“คุณหญิงเป็นยังไงบ้างคะลุงรันย์”

วรันย์ถอนหายใจหนัก ๆ ปากที่กำลังขยับออกคำสั่งคนในบ้านเม้มเป็นเส้นตรง โบกมือไล่คนอื่น ๆ ไปทำงาน ส่วนตนเองหันมาสนทนากับหลานสาวตามกฏหมายเสียงเรียบ “ยังร้องไห้อยู่ คงเสียใจมาก”

ทั้ง ๆ ที่คนรอบข้างก็เตือน แต่คุณหญิงวารีก็หนักแน่นในการตัดสินใจ จนสุดท้ายผลออกมาเลวร้ายกว่าที่ควรเป็น

“คุณมาวินหนีไปตอนไหนนะ”

นั่นสิ หัวคิ้วของบอดีการ์ดสูงวัยขมวดแน่น ก่อนจะส่ายหน้าในเวลาต่อมา “ภายนอกเหมือนคนไม่เอาไหน แต่ถ้าได้ลงมือทำแล้วคุณมาวินไม่แพ้คุณวาของเธอหรอกนะ”

อัยรินเบ้ปาก เหลือบตามองไปทางอื่นเป็นเชิงไม่เห็นด้วย

วรันย์ส่ายหน้า หัวเราะออกมาคำหนึ่งแล้วเดินไปสั่งงานต่อ ทิ้งให้สาวน้อยชะเง้อคอมองบันไดขึ้นชั้นสองตาละห้อย รอคอยใครสักคนลงมาออกคำสั่งหรือเล่าอะไรให้ฟังบ้าง ความอยากรู้ไม่สู้ความห่วงใย หากก็ไม่อาจทิ้งงานที่ถูกสั่งเอาไว้เบื้องหน้าได้

แม้เจ้าบ่าวจะหายหัว แต่แขกเหรื่อที่ได้การ์ดเชิญก็มากันอย่างต่อเนื่อง นัยน์ตาคู่หวานกวาดมองผู้คนมากหน้าหลายตาที่ประโคมเครื่องแต่งกายมาจนแยงตาแทบบอด เม้มปาก กำมือแน่นอย่างหงุดหงิดใจ

“ถ้าคิดจะหนี ทำไมไม่หนีก่อนแจกการ์ดนะ แจกออกไปตั้งเยอะ คนแยะขนาดนี้ ลำบากคนอื่น!”

“ฮัดเช้ย!” อาการจามอย่างไม่มีเหตุผลทำให้คนที่กำลังขับรถสะดุ้งตาม

“ไม่สบายหรือไง” คริสถาม เมื่อเห็นเพื่อนจามออกมาเสียงดังลั่น นึกเป็นห่วงด้วยหนีกันมาตั้งแต่เมื่อคืน ยังไม่ได้พักสักงีบ

มาวินเพียงหัวเราะลงคอ “สงสัยคนที่บ้านกำลังคิดถึง”

คริสเลิกคิ้ว เหลือบมองคนพูดประโยคเมื่อครู่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่ที่ชัดเจนที่สุดคงเป็นความกังวล

“นายไม่เคยขัดที่บ้านเลยเหรอ”

ตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่ว่าจะพ่อ แม่ หรือแม้กระทั่งน้องชาย มาวินก็มักทำตามที่คนอื่นบอกเสมอ ยกตัวอย่างตอนที่เขาพบบิดาของเพื่อนครั้งแรก ถูกซ้อมจนน่วม แถมผู้ให้กำเนิดของมาวินยังยื่นคำขาด หลังจากนั้นเพื่อนของเขาก็เปลี่ยนไป

ที่ผ่านมาไม่รู้ว่ามาวินใช้ชีวิตในกรอบของคนอื่นเช่นนี้ได้อย่างไร เขาเองคิดตามไม่ได้ เพราะชีวิตของเด็กกำพร้า อิสรเสรีจนแทบไม่มีที่ซุกหัวนอน กระทั่งได้พบอีกฝ่าย เขาก็ค้นพบคำว่าบุญคุณ และมิตรภาพพร้อม ๆ กัน

มาวินคล้ายมองออกถึงแววตาเทิดทูนรักใคร่ จึงยิ้มกล่าวเสียงเบา

“ฉันไม่ใช่คนดีหรอก ตอนช่วยนาย ฉันก็มีแผนการในใจ”

มาวินเคยบอกตรง ๆ ตอนที่ต้องกลับเมืองไทย ตอนนั้นคริสยังมึนงง ไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย กระทั่งเพื่อนยื่นกุญแจรถพร้อมเอกสารของอะพาร์ตเมนต์ให้ เขาจึงเข้าใจ

มันตั้งใจจะไล่เขาออกไปจากชีวิตหรือให้ชีวิตใหม่กับเขากันแน่ เขาเคยสงสัย แต่ก็ได้คำตอบในเวลาต่อมาไม่นานนัก คนคนนี้ไม่ใช่คนดีจริง ๆ แต่ก็ไม่ใช่คนเลวอย่างที่ใครเข้าใจ

หนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าผู้รักอิสรเสรีจึงเฝ้ารอการติดต่อของเพื่อนด้วยความคิดที่ว่า… อย่างไรเสียเขาก็ไม่มีใคร มาวินก็ไม่มีใคร คนไม่มีใครสองคนอยู่ด้วยกันน่าจะดี เพราะฉะนั้นหลังจากได้รับการติดต่อจากมาวิน เขาก็เคลียร์ทุกอย่าง ยกสมบัติที่หามาได้ให้อดีตภรรยาเป็นค่าเลี้ยงดู แล้วบินด่วนมาเมืองไทยเพื่อ… อยู่ข้าง ๆ มันทันที

เขาดูเป็นคนดี และใช่ เขายอมรับว่าตัวเองเป็นคนดี!

ส่วนเพื่อนนั้น… ดีแหละ แต่ไม่มากเท่าเขา

คริสเผลอหัวเราะออกมาเบา ๆ จนคนที่นั่งข้างกายต้องขมวดคิ้ว รู้สึกไปเองไหมว่าตัวเองกำลังถูกอีกฝ่ายนินทา

“นายไม่ได้นินทาฉันใช่ไหม”

อีกฝ่ายคล้ายร้อนตัว เบิกตากว้าง ส่ายหัวจนแทบหลุดจากบ่า แล้วเม้มปากตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อทันที

มาวินริมฝีปากกระตุก ชักไม่แน่ใจว่าดีหรือไม่ดีที่มีมันข้างกายแบบนี้ หลังจากนั้นไม่นานสองคนต่างความคิดต่างจิตใจก็ขับรถมาถึงทะเลอ่าวไทยไม่ไกลกรุงเทพฯ

คริสมาวนหาที่จอด ก่อนจะพบโรงแรมหรูแห่งหนึ่งน่าสนใจ เขาหันมองมาเพื่อน เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าก็ขับเคลื่อนรถเข้าไป เช็กอินห้องพักหนึ่งห้อง แล้วจอดรถทิ้งไว้ที่ลานจอด ก่อนเดินทอดน่องตามกันออกไปยังทะเลด้านหลังโรงแรม

“นายรวยขนาดจ่ายค่าที่จอดรถเป็นพันเลยเหรอ” ราคาของที่พักตามสถานที่ท่องเที่ยวก็ประมาณนี้ แต่ที่คริสมองว่ามันแพงเกินไปก็เพราะ… มาวินเพียงแวะมาจอดรถเท่านั้น ไม่ได้คิดจะค้างคืน

อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่เดินลงชายหาดไปเงียบ ๆ แววตาบ่งบอกว่าต้องการอยู่คนเดียว

**** เนื้อหายังมีติดขัดต้องขออภัยนะคะ

ฝากหนูอัยย์กับมาวินด้วยนะคะ

เนื้อหาที่ลงยังไม่มีการปรับแก้ ตรวจคำผิด

อาจมีบางส่วนผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะคะ

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอด ทุกๆ เรื่องเลยนะคะ

รัก... เอริณ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป