บทที่ 2 บทที่ 1 อัยริน (50%)

บทที่ 1 อัยริน

“ไป!” เสียงแหบพร่าไล่ส่งพร้อมผลักแผ่นหลังเล็กให้เดินเซไปข้างหน้า ดวงตากลมโตบวมเป่ง ตาขาวมีเส้นเลือดฝอยสีแดงกระจัดกระจาย รอบดวงตามีรอยเขียวช้ำ หลายแห่งเริ่มกลายเป็นสีม่วง ริมฝีปากแห้งผากลอกเป็นขุย มุมปากมีคราบเลือดแห้งติด ลำคอเขียวช้ำ แขน ขาเก้งก้างมีร่องรอยบาดแผลจากการถูกทำร้ายอย่างหนัก ทั้งรูปร่างที่ผอมกว่าเด็กทั่วไปยังส่งผลให้เด็กหญิงตัวน้อยดูน่าเวทนายิ่งขึ้นไปอีก มือข้างซ้ายอุ้มตุ๊กตาเก่า ๆ เย็บมือที่ผ่านการซ่อมแล้วซ่อมอีก กอดแน่นราวกับนี่คือที่พึ่งเดียวในชีวิต มือข้างขวาหิ้วถุงพลาสติกขาด ๆ ที่ข้างในบรรจุเสื้อผ้าข้าวของสภาพเก่าขาดไม่ต่างจากตัวที่เด็กหญิงสวมใส่นัก

เด็กหญิงไม่ได้ขยับตัวหรือหันกลับไปมอง ‘มารดา’ ที่กำลังมองส่งมาด้วยสายตาเกลียดชัง และขยะแขยง ใบหน้าเล็กก้มต่ำ เม้มริมฝีปากพร้อมกอดตุ๊กตาเก่า ๆ ในอ้อมแขนแน่นขึ้น เมื่อเสียงรถจักรยานยนต์ดังขึ้น น้ำตาที่ขังคลอหน่วยตาก็ไหลรินลงมา

แม่…

ร้องเรียกมารดาด้วยเสียงพร่าแหบในใจ แม้ไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมด หากก็เข้าใจดีว่าเหตุใดจึงต้องยืนอยู่ตรงนี้

เด็กหญิงเม้มปาก กอดตุ๊กตาเก่า ๆ ในอ้อมแขนตัวเองพลางเดินซวนเซไปข้างหน้าตามคำสั่ง หากก้าวขาไปได้อีกไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดนิ่งหันกลับมามองคนที่ยังนั่งอยู่บนเบาะรถจักรยานยนต์ ดวงตาเขียวช้ำไม่ต่างกันมองส่งมาอย่างสับสน แต่ไม่นานร่างคุ้นตาก็ค่อย ๆ ขับเคลื่อนรถจักรยานยนต์ออกไป

น้ำตาร่วงหล่นลงไปบนสองแก้ม รินไหลราวสายน้ำพร้อมสองขาเล็กลีบที่กำลังก้าวตาม

ทว่า

“เฮ้ย!”

หากเสียงร้องมาจากด้านหลังทำให้สองขาเล็กลีบชะงักงัน หลังจากนั้นคนที่เคลื่อนรถจักรยานยนต์ออกไปอย่างเชื่องช้าก็เบิกตามอง ก่อนบิดคันเร่งพุ่งทะยานออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่เหลียวกลับมา ไม่หวนคะนึงหาคนที่ถูก ‘ทิ้ง’ เอาไว้เบื้องหลังอีกเลย

ควันสีขาวขุ่นจางหายไปนานแล้ว หากดวงตากลมโตติดโศกคู่นี้กลับยังไม่ละไปจากภาพความทรงจำสุดท้ายที่เคยปรากฏอยู่เบื้องหน้า กระทั่งฝ่ามือใหญ่อุ่นทาบลงบนไหล่เล็กพร้อมเสียงเรียกอย่างอารี

“หนู”

ชายสูงวัยในชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยยอบกายลงตรงหน้า มองสำรวจตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอย่างพิจารณาพลางถอนหายใจ ยกบางสิ่งที่ติดอยู่ที่เอวขึ้นมา กรอกเสียงลงไปในนั้นแล้วเงี่ยหูฟัง

“คุณเพียงครับ เหมือนจะมีคนเอาเด็กมาทิ้งครับ”

วินาทีนั้นเด็กหญิงร่างผอมบางกว่าเด็กวัยเดียวกันยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘ทิ้ง’ อย่างแท้จริง

ทว่า… กระแสเสียงที่คนสูงวัยเอ่ยนั้นมันส่งผลต่อหัวใจดวงน้อยอย่างมหาศาล

เด็กหญิงไม่ได้ร้องไห้โฮ หากนิ่งเงียบ ปล่อยให้มือใหญ่อุ่นจับจูงพาเข้าไปยังด้านใน ไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหน ทำไมต้องมาอยู่ตรงนี้ และจะมีโอกาสได้เจอหน้าคนที่เพิ่งจากไปอีกหรือไม่…

เสียงวิ่งตึงตังที่ตรงมาหาจากที่ไกล ๆ ทำให้ใบหน้าที่ก้มต่ำต้องเงยขึ้นมอง ดวงตากลมโศกมองเห็นคนมากมายที่รายล้อม และหนึ่งในนั้นมีสตรีสูงวัยหน้าตาใจดีเดินเข้ามาหา ยอบกายลงนั่ง มือเรียวนุ่มเนียนแตะเบา ๆ ที่แก้มบวมช้ำ

“ถูกทำร้ายมาด้วย” น้ำเสียงอารี ทอดสายตาเวทนาระคนอบอุ่นให้พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน

หากคนตัวน้อยยังไม่ประสา ไม่เข้าใจหรอกว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่กำลังพูดคืออะไร แต่หัวใจที่แห้งผากก็รับรู้ได้ถึงความกรุณาที่ส่งมาพร้อมกัน

“ไหนแม่ขอดูถุงของหนูได้ไหมคะ” สตรีวัยกลางคนใบหน้าอารีเช่นกัน แต่ยืนเยื้องไปเล็กน้อยเดินตามมาสมทบ ก่อนยิ้มบาง ๆ พร้อมยื่นมือมารับถุงที่เด็กหญิงตัวน้อยถือเอาไว้ในมือ

ใบหน้าบวมช้ำก้มลงมองถุงพลาสติกสีใสขาดวิ่นในมือ ข้างในมีเสื้อผ้า ข้าวของบางส่วนอยู่ในนั้น ความเป็นเด็กตัวเล็กกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน ยามถือของมากมายร่างเล็กจ้อยจึงเอียงกะเทเร่ไปด้านซ้าย

“แม่ขอดูหน่อยนะคะ”

เด็กหญิงไม่ได้ตอบอะไร หากก็ไม่ปฏิเสธ เมื่อมือบางเอื้อมมารับถุงในมือตนก็ยอมส่งให้

หลังจากได้ของไปถือเอาไว้ ทุกคนที่ยืนไม่ไกลออกไปก็เดินเข้ามา ช่วยกันรื้อค้นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ข้างในนั้น กระทั่งพบใบเกิดกับสำเนาทะเบียนบ้าน และจดหมายหนึ่งฉบับ

“ฝากเด็กคนนี้ด้วย”

“นี่ไม่ควรถูกเรียกว่าจดหมายด้วยซ้ำ!” เสียงห้าวเข้มจากคุณลุงคนแรกที่จูงมือเด็กหญิงตัวน้อยเข้ามาเอ่ยขึ้น ตอนที่จับจูงมือน้อยนั้นคนมากวัยย่อมสัมผัสได้ว่าร่างกายที่ผ่ายผอมเช่นนี้ถูกกระทำเช่นไรมาบ้าง เพียงคิดถึงเรื่องน่าสังเวชเช่นนั้น ใบหน้าเหี่ยวย่นก็ถมึงทึงขึ้น หากแววตายามมองคนตัวน้อยยังอารีระคนเวทนา

“คุณหญิงครับ พาไปแจ้งความเลยไหมครับ”

‘คุณหญิง’ ที่ยังยอบกายลูบไล้ใบหน้าเล็กบนพื้น ยังไม่ทันให้คำตอบ สตรีที่รับถุงข้าวของจากเด็กหญิงไปคนแรกก็เอ่ยแทรก

“ในใบเกิดอายุสามขวบ” ดวงตาเอื้ออารีเป็นนิจกวาดมองร่างเล็กจ้อยกว่าเด็กวัยเดียวกันแล้วขมวดคิ้วเมื่อพบว่าใบหน้า ลำคอ แขน ขา เรียกได้ว่าส่วนนอกร่มผ้าของเด็กหญิงเต็มไปด้วยร่องรอยการถูกทำร้ายอย่างหนัก ผู้มีประสบการณ์ด้านนี้ไม่อยากคาดคิดเลยว่าภายในร่มผ้า ร่างกายของเด็กวัยเพียงสามขวบจะซุกซ่อนความจริงอะไรไว้บ้าง

ร่างที่ยอบกายมาได้สักพัก ขยับกายลุกขึ้นพร้อมรวบร่างเล็กจ้อยขึ้นอุ้มเอาไว้แนบอก

“สามขวบจริงเหรอ ทำไมตัวบางขนาดนี้” ดวงตาอารีทอดมองดวงหน้าจิ้มลิ้ม หากมอมแมมเพราะไม่ได้รับการดูแล ร่างกายผ่ายผอม เนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยของบาดแผล ทั้งแผลเก่า และแผลใหม่ ก่อนจะหยุดมองดวงตากลมโศกมีประกายบางอย่างอยู่ข้างในละม้ายกับใครอีกคนที่ท่านยังคงฝันถึงตลอดสองปีที่ผ่านมา ดวงตาคู่นี้อ่อนแสง และสะท้อนเพียงความเจ็บปวดข้างในไม่ต่างกัน

ยิ่งมองหัวใจของคนมีความผิดยิ่งร้าวลึก… หากท่านก็ยังคงไม่ละสายตาไปไหน

“วารีพาไปแจ้งความก่อนดีไหม” เสียงถามจากคนที่ยืนมองมาตลอดเบาลง เมื่อดวงหน้าเล็กหันมามอง

‘คุณหญิงวารี’ พยักหน้าตอบ ลูบไล้แผ่นหลังของคนตัวน้อยที่กำลังนิ่งงันไร้การตอบรับในอ้อมแขนตน

หากแต่…

“โอ้ย” เสียงร้องเล็ก ๆ พร้อมห่อไหล่ ยามฝ่ามือนุ่มแตะตรงแผ่นหลัง คุณหญิงวารี และคนอื่น ๆ ต่างเบิกตากว้าง มองเด็กหญิงตัวน้อยด้วยความตื่นตกใจ

“วางลงก่อนรี”

คุณหญิงวารีวางร่างเล็กจ้อยลงบนพื้น จ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มพร้อมยิ้มให้ ก่อนจับร่างเล็กหันหลัง มือเรียวเลิกชายเสื้อด้านหลังขึ้น ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มบาง ๆ จางหาย ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งงัน ทั้งเวทนา และสงสารจนหลั่งน้ำตา

คุณพร้อมรักผู้เป็นเจ้าของ ‘บ้านพร้อมรัก’ เบือนหน้าไปเล็กน้อย เม้มริมฝีปากอิ่ม รวบรวมสติพักใหญ่จึงหันหน้ากลับมา

“จะ เจ็บมากไหมลูก” เสียงถามพร่าสั่น ก่อนมือเรียวจะค่อย ๆ แตะลงบนแผลเหวอะหวะตรงกลางแผ่นหลังอย่างเบามือ สำรวจจากปากแผล และลักษณะโดยละเอียดแล้วพบว่ามันคือรอยเตารีด

ใช่ รอยเตารีดทั้งอันที่ทาบลงบนแผ่นหลังเล็ก บาดแผลกว้างเกือบจะเต็มแผ่นหลังของคนตัวน้อย สร้างความสะเทือนใจให้คนที่เห็นจนไม่สามารถมองภาพนั้นอย่างเต็มสองตา กระทั่งลุงชมยังทนมองต่อไปไม่ไหว หันหลังจากไปพร้อมไหล่หนาที่ลู่ลง

“แผลเริ่มอักเสบแล้วพร้อม” คุณหญิงวารีเอ่ยเสียงเบา ดวงตาอารีคู่เดิมเอ่อคลอน้ำตา ก่อนรินไหลลงอาบแก้ม ความสงสารมีมาก ทว่าที่มากกว่าคือความรู้สึกชื่นชม

แม้จะเจ็บปวด แต่แววตาคู่โศกของเด็กหญิงก็ไม่ไหวระริกแม้แต่น้อย หากไม่ถูกแตะต้องบาดแผลก็คงไม่ยอมปริปากบอกใครว่าตนเองเจ็บปวดมากเพียงใด

ช่างเป็นเด็กที่เข้มแข็ง แต่ในขณะเดียวกันก็… เย็นชาเหลือเกิน

“ตั้งแต่ทำงานที่นี่มา เคยเจอมาทุกอย่าง แต่ก็ทำใจให้ชินไม่ได้ คนพวกนี้มันไม่ควรถูกเรียกว่ามนุษย์!” เสียงของหนึ่งในคนที่ยืนห้อมล้อมเด็กหญิงเอ่ยขึ้น พร้อมยกมือปาดน้ำตาบนข้างแก้มของตนแรง ๆ กัดริมฝีปากจนเลือดซิบ สงสาร และเวทนาร่างเล็กตรงหน้าเหลือจะกล่าว เด็กตัวเล็กนิดเดียว บอบบางไร้ทางต่อสู้ กลับถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัส บาดแผลบนกายรักษาหายได้ แต่บาดแผลในใจรักษาอย่างไรจึงจะหายดี!

คุณหญิงวารีเองก็เช็ดน้ำตาของตนเหมือนกัน จัดเสื้อผ้าให้เด็กหญิงอย่างทะนุถนอม ก่อนระบายยิ้มบาง ๆ ยามหมุนร่างเล็กกลับมา

“หิวไหมคะ” น้ำเสียงถามเอื้ออาทรอย่างที่สุด แววตาอบอุ่นอ่อนโยนจนเด็กหญิงสัมผัสได้

ดวงหน้าเล็กจึงพยักตอบเบา ๆ สองที

คุณหญิงวารียิ้มกว้างขึ้น ผละกายลุกยืน กุมมือเล็กเอาไว้แน่น ก่อนจับจูงพาเข้าไปด้านในโดยไม่พูดอะไรอีก

ถ้าเด็กคนนั้นยังอยู่อายุน่าจะไล่ ๆ กับคนตัวน้อยในมือท่าน… ทว่าไม่อยู่อีกแล้ว

ในหัวใจกำลังร่ำไห้เสียงโหย หวนคิดถึงลูกชายของตนเองจับใจ

มาวิน พงษ์ไพบูลย์ บุตรชายคนโตของท่าน และวาคิน เลิศวรานนท์ บุตรชายคนเล็กที่กลายเป็นน้องชายบุญธรรมตามกฎหมาย หัวใจของแม่… แบกรับความรู้สึกมากมายเอาไว้ข้างใน หากไม่อาจอธิบายหรือพูดกับใครได้

ท่านหย่าขาดจากอดีตสามีตั้งแต่บุตรชายคนโตอายุหกขวบ พอโตขึ้นเข้าช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อนั้น มาวินก้าวข้ามความเจ็บปวดไปไม่ได้ เด็กชายกลายเป็นคนที่ท่านไม่รู้จัก หลายอย่างที่ทำส่งผลต่อความรู้สึกที่มารดาอย่างท่านต้องเผชิญมากมายนัก เรื่องนั้นเป็นอีกเรื่องที่หนักหนาจนแม้กระทั่งท่านเองก็ยังจัดการไม่ได้ กว่าจะคลี่คลาย และจบเรื่องราว ทุกอย่างก็แหลกละเอียดคาฝ่ามือของชายหนุ่ม แม้จะผ่านมาสองปีเต็มแล้ว แต่หัวใจของท่านก็ยังคงเจ็บปวดยามคิดถึงมัน

“งั้นเราเข้าไปหาอะไรทานกันใน ‘บ้าน’ ดีกว่านะ”

มือนุ่มจูงมือเล็กเดินเข้าไปในอาคารสูงที่อยู่เบื้องหน้า ใบหน้าอารีประดับรอยยิ้มอ่อนโยน มือที่จับจูงกระชับแน่นขึ้น ยามร่างเล็กสั่นเทาราวลูกนกถูกฝน

คุณหญิงวารีสะท้อนใจในสิ่งที่ได้สัมผัส เด็กหญิงตัวเล็กนิดเดียว แบกรับความเจ็บปวดทั้งหมดบนร่างกายได้อย่างไร ท่านไม่อาจรับรู้ได้ ทว่ามันก็เตือนให้ท่านจดจำความรู้สึกที่เด็กผู้หญิงอีกคนพบเจอเช่นกัน

หากย้อนเวลากลับไปได้ ท่านจะตัดสินใจให้เร็วกว่านั้น แก้ปัญหานั้นให้ดีกว่านี้ และทำทุกอย่างอย่างมีสติมากกว่าที่ควร ทว่า… ทุกอย่างสายเกินไปแล้ว เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่อยู่ให้ท่านแก้ตัวอีกต่อไป

ดวงตาอารีแฝงเศร้าก้มลงมองร่างเล็กที่จับจูงมือไว้ เม้มริมฝีปาก ยามก้อนสะอื้นจุกแน่นในอก

ความเจ็บปวดของท่านในวันนี้ เทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดของเด็กคนนั้นในวันวาน แม้ทุกอย่างจะสายเกินไปแล้ว แต่หัวใจของท่านยังคงร่ำร้องขอแก้ไขในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ยิ่งเมื่อได้พบเจอกับ ‘ดวงตา’ คู่นี้ ซึ่งมันละม้ายคล้ายดวงตาคู่นั้นในความทรงจำราวกับเป็นดวงตาดวงเดียวกันแล้ว ท่านก็ไม่ต้องหยุดคิดอีกต่อไป

“ไปอยู่ด้วยกันไหมคะ” น้ำเสียงที่ใช้ถามเบาหวิว หากชัดเจนในหัวใจของคนฟัง

ใบหน้าอารีก้มลงมอง ยิ้มอ่อนโยนส่งให้พร้อมกระชับมือที่จับจูงเอาไว้ให้แน่นขึ้น

“ไปอยู่กับแม่นะคะ”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป