บทที่ 8 ข้ามิใช่เด็กแล้ว

หญิงสาวผู้เป็นนายถอนหายใจพลางสั่นศีรษะไปมาเมื่อได้รู้ว่าบ่าวของตนเป็นอะไร

“ข้ามิได้พูดเรื่องถอนหมั้นหรอก ข้าแค่บอกกับแม่ทัพว่ามีคนเห็นคนรักของเขา แถวบ่อน้ำที่ข้าตกลงไปก็เท่านั้น” ร่างบางของหญิงชราที่กำลังจะถูกพยุงให้ลุกขึ้น พลันทรุดกลับลงไปอีกครั้งเมื่อได้ยินผู้เป็นนายบอก นางมิได้กลัวเรื่องที่จะถูกสาวมาถึงตัวว่าตนเป็นคนพูด แต่กลัวว่าหากหนิงเซียงรู้เรื่องเข้า จะมาหาเรื่องเจ้านายตนอีก

“เป็นอะไรไปอีกล่ะชุนเหยียน ท่านยังไม่ได้แก่ขนาดนั้นสักหน่อย ทำไมถึงได้ขยันเป็นลมนัก” หญิงสาวผู้เป็นนายว่าพลางประคองบ่าวชราของตนให้นั่งลงในท่าที่สบายขึ้น พลางหยิบเอายาหอมที่ชุนเหยียนเคยเอาให้ตัวเองดมบรรเทาอาการปวดศีรษะยื่นให้กับผู้เป็นบ่าวด้วยความห่วงใย

“ถ้าเกิดหนิงเซียงรู้ว่าคุณหนูฟ้องเรื่องนี้กับท่านแม่ทัพ นางต้องมาหาเรื่องคุณหนูแน่ๆ เลยเจ้าค่ะ”

“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ข้ามิใช่คนเก่าอีกแล้ว จะไม่ยอมให้ใครมารังแกทั้งตัวข้าหรือแม้แต่ชุนเหยียน ข้าก็จะเป็นคนปกป้องเอง” ถงหลานเฟยว่าพลางทำท่ากำหมัดมั่นทั้งสองข้าง

ก่อนถึงเวลาอาหารค่ำ ชุนเหยียนจัดการแต่งองค์ทรงเครื่องให้นายของตนอย่างงดงาม ร่างระหงสวมชุดสีชมพูอ่อนปักลายดอกโบตั๋นที่ปลายกระโปรงบานพลิ้ว ที่เอวบางคาดด้วยเข็มขัดปักเลื่อมสีหวาน ผมยาวสลวยดุจผ้าไหมมัดรวบไปครึ่งศีรษะ แล้วปักด้วยปิ่นสีเงินประดับมุก และพลอยสีชมพูระยิบระยับ

คิ้วสวยขมวดยุ่งเมื่อมองเห็นตัวเองในกระจกเงา มิใช่ว่าชุนเหยียนแต่งกายให้ไม่สวย แต่มันดูเด็ก

“ไม่ชอบหรือเจ้าคะคุณหนู” หญิงชราผู้เป็นคนแต่งกายให้เจ้านายเอ่ยถาม ด้วยน้ำเสียงน้อยใจ

“ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าแค่...ขัดใจกับสีของเสื้อผ้าและเครื่องประดับเท่านั้น” เพราะตอนที่ยังเป็นจินซิน เธอก็ไม่เคยจับตัวเองใส่สีชมพูตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอย่างนี้มาก่อน

“อาภรณ์พวกนี้ คุณหนูเป็นคนเลือกเองนะเจ้าคะ ลายปักบนผ้าก็ลงมือปักด้วยตัวเอง จะไม่ชอบอย่างไร” หญิงชราเอ่ยเถียง คนเป็นนายก้มมองเสื้อผ้าบนตัวอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ นี่ก็คงใกล้เวลาที่ต้องไปร่วมรับประทานอาหารแล้ว ถ้ามัวเปลี่ยนเดี๋ยวได้ไปสายแน่

“งั้นเอาไว้งานหน้า เราค่อยหาเสื้อผ้าใส่กันใหม่ก็แล้วกัน วันนี้ก็ไปแบบนี้นั่นแหละ” แม้ว่าหญิงสาวผู้เป็นนายจะไม่ได้ติดใจอะไรกับการแต่งตัวแล้ว แต่ชุนเหยียนกลับยังทำหน้าตาโศกเศร้า น้อยใจที่ถงหลานเฟยไม่ชื่นชมตนอย่างแต่ก่อน

“เป็นอะไรอีกล่ะ” ก่อนจะเดินออกจากเรือน ถงหลานเฟยจึงต้องไถ่ถามคนสนิทของตนด้วยความเป็นห่วง แต่หญิงชรากลับน้ำตาเอ่อนองเสียอย่างนั้น

“ชุนเหยียน...ฮึก ชุนเหยียนทำตามที่คุณหนูต้องการไม่ได้” เมื่อได้ยินอย่างนั้น คนฟังก็สั่นศีรษะไปมาด้วยความเอ็นดู ‘คนแก่นี่ขี้น้อยใจแบบนี้เองหรือ’

“ข้าชอบ ข้าชอบมากๆ ข้าเพียงแค่จำไม่ได้ว่าตัวเองเคยแต่งตัวสวยขนาดนี้ด้วย ก็เลยตกใจแล้วก็ทำท่าทางแบบนั้น วันนี้ชุนเหยียนแต่งตัวให้ข้าสวยมากๆ เลยนะ” น้ำเสียงออดอ้อน กับท่าทางเหมือนเด็กน้อยที่กำลังพูดเอาใจคนแก่ มีหรือชุนเหยียนจะทนรับไหว ใบหน้าเหี่ยวย่นของหญิงชราเปรยยิ้มกว้างด้วยความดีใจ  ความสุขเดียวของชุนเหยียน ก็คือการได้เห็นคุณหนูของตนมีความสุขเท่านั้น

ทั้งคู่พากันเดินออกมาจากเรือน ระหว่างทางที่กำลังจะไปถึงลานกว้างสำหรับนั่งรับประทานอาหาร มีทางแยกหนึ่งซึ่งเป็นเส้นทางที่จะเชื่อมไปหาเรือนท้ายจวนของหนิงเซียง จากตรงนี้ต้องเดินลัดแปลงผัก และสวนไปไกลพอสมควร

ที่มุมหนึ่งของทางแยก มีหญิงสาวสวมชุดสีแดงสด แต่งตัวพะรุงพะรังไปด้วยเครื่องประดับ ที่ประโคมสวมใส่มาอย่างไม่ได้จัดวาง ว่าเหมาะสมหรือเข้ากันหรือไม่

ผมยาวที่ดูหยาบแห้งจากการถูกแดดเผา กับผิวที่ดูกร้านเพราะไม่ค่อยได้รับการดูแล ทำให้ถงหลานเฟยคิดว่าสตรีผู้นี้เป็นบ่าวรับใช้ในแวบแรกที่มองเห็น แต่เพราะเครื่องประดับมีราคาของเธอที่เพิ่งจะสังเกตรู้ตอนเข้ามาใกล้ในระยะสายตา ทำให้ความคิดนั้นพลันหายไปและเธอก็คาดเดาว่านี่อาจจะเป็น แม่หวานใจของท่านแม่ทัพ เพราะสายตาที่มองมาหาตนนั้นมีความอาฆาตแค้นแรงสูงมาก

“ตายยากเหลือเกินนะ” เมื่อหญิงสาวในชุดสีชมพูเดินเชิดหน้าผ่านไปอย่างไร้ความเกรงกลัว ทำให้ปากเรียวสีแดงสดต้องเอ่ยทักด้วยถ้อยคำค่อนข้างหยาบคาย เพื่อหวังจะดึงความสนใจจากอีกฝ่าย และมันก็สำเร็จเสียด้วย ร่างบางของถงหลานเฟยหมุนกลับไปหาต้นเสียง

แววตาหวาดกลัวที่เคยก้มมองพื้นทุกครั้งที่สนทนากัน เวลานี้มันกำลังจ้องประสานกับสายตาเย้ยหยันของคนตรงหน้า จนทำให้หนิงเซียงเกิดความประหลาดใจ

“คุณหนูเจ้าคะ รีบไปเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทันเวลาอาหาร” ชุนเหยียนกระซิบบอกผู้เป็นนาย เพราะกลัวว่าคุณหนูของตนจะถูกหญิงสาวในชุดสีแดงรังแกเอา แต่ถงหลานเฟยกลับก้าวฉับๆ เข้าไปประชิดตัวอีกฝ่าย เสียจนคนเอ่ยทักทายต้องเป็นฝ่ายถอยเท้าหนี

“ก็คงต้องอยู่อีกนาน จนกว่าจะมีทายาทให้ตระกูลเจินสัก...สองสามคน” คำพูดของคนตรงหน้า สร้างความไม่พอใจให้คนฟังอย่างมาก หนิงเซียงยังไม่รู้เรื่องที่หญิงสาวผู้อ่อนแอความจำเสื่อม จนกลายเป็นคนละคนแบบนี้

“ปากดีนักนะ คิดว่ารอดจากการจมน้ำมาได้แล้วจะสู้อะไรข้าได้งั้นเหรอ โอ๊ย!!!” มือสากของหนิงเซียงที่เอื้อมมาหมายจะจับคางมนของถงหลานเฟย ถูกจากตัวจับเอาไว้เสียก่อนด้วยความว่องไว ซ้ำยังบีบจนอีกฝ่ายหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด

บทก่อนหน้า
บทถัดไป