บทที่ 3 เนี่ยหลิงจะไม่ทน
ผ่านมาแล้วห้าวันตั้งแต่เนี่ยหลิงมาอยู่ที่นี่ อาการป่วยของนางหายสนิทแล้วเหลือแค่รอยฟกช้ำนิดหน่อย ทุกวันเนี่ยหลิงจะได้กินโจ๊กใสถึงใสมาก มีเม็ดข้าวอยู่นิดหน่อยประทังชีวิตกันไปเท่านั้น และวันนี้เนี่ยหลิงหมดความอดทนแล้ว เกินใจจะอดทนจริง ๆ หลังจากทานอาหารเช้าพร้อมหน้าพร้อมตา ท่านพ่อท่านแม่มีสีหน้าอึมครึม แต่ละคนมีสีหน้าที่ไม่ดีเป็นอย่างมาก น้องชายทั้งสองของสามีวันนี้ไม่ได้เดินทางเข้าเมืองเพื่อไปหางานทำดังเช่นทุกวัน เนี่ยหลิงจึง
เอ่ยปากถามทันที
“ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านไม่สบายหรือ ทำไมสีหน้าท่านดูไม่ดีเลย ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
หนิงเหวินเทียนได้ยินลูกสะใภ้ถามขึ้นมาก็เอ่ยออกมาด้วยความลำบากใจ
“พ่อแค่เป็นกังวลว่าเราจะไม่มีอาหารพอสำหรับหน้าหนาว พ่อเป็นพ่อที่ไร้ความสามารถทำให้พวกเจ้าต้องลำบาก”
“ท่านพี่อย่าได้กล่าวโทษตัวเองเลยเจ้าค่ะ” ท่านแม่เอ่ยปลอบท่านพ่อ
“ลูกรองและลูกสามก็ไม่มีงานให้ทำในเมืองแล้วตอนนี้งานหายากมากขึ้นทุกวัน”
เนี่ยหลิงจึงตัดสินใจว่าจะขึ้นเขาเข้าป่าอีกครั้ง “เอาอย่างนี้เป็นเช่นไรเจ้าคะท่านพ่อ ข้ากับท่านพี่ น้องรอง และน้องสาม จะขึ้นเขาไปหาของป่าดูและวางกับดัก เผื่อจะได้สัตว์และสมุนไพรมาขายบ้าง และผักป่าสามารถนำมาทำอาหารได้”
“มันจะดีหรือสะใภ้ใหญ่ เจ้ายังไม่หายดีเลยจะขึ้นเขาไปได้เช่นไร” ท่านแม่เอ่ยปากห้าม
“พี่เห็นด้วยกับท่านแม่นะน้องหญิง เจ้าอยู่บ้านกับลูกเถอะ ให้น้องสี่ไปช่วยท่านพ่อท่านแม่ปลูกมันเทศวันนี้ก็คงเสร็จพอดี”
แต่เนี่ยหลิงจะไม่ทนและไม่ยอมอยู่บ้านแน่ ๆ ทำไมกันนะ
ทั้ง ๆ ที่ภูเขาและป่าอุดมสมบูรณ์มากแต่ทำไมคนถึงได้อดอยากกัน ไม่ได้ ๆ ข้าต้องไปดู แต่ว่าเหมือนนางจะลืมอะไรไปสักอย่าง ช่างมันค่อยคิดแล้วกัน
“อ๊าา ข้านึกออกแล้ว แหวนไงล่ะ แหวนมิติที่ชายชราให้มา” เนี่ยหลิงมองตรวจสอบแหวน เจอธนูและลูกธนูกับหนังสืออีกหนึ่งหีบ “อ่าให้มาแค่นี้เอง ช่างเถอะ”
ถึงจะบอกว่าเกิดใหม่ในโลกลมปราณแต่คนที่มีลมปราณและเป็นผู้ฝึกตนนั้นหายากมาก แทบจะนับนิ้วเลยก็ว่าได้ ในหมู่บ้านป่าหมอกยิ่งแล้วใหญ่มีแค่ชาวไร่ชาวนาเท่านั้น
เนี่ยหลิงไม่ฟังคำทัดทานของใคร ทุกคนคร้านจะขัดใจนาง ทั้งสี่คนแบกตะกร้าสานขึ้นหลัง หยางหลงมีธนูและมีดอีกหนึ่งด้าม น้องรองและน้องสามก็เช่นกัน วันนี้เนี่ยหลิงแอบเอาธนูออกมาตอนที่ทุกคนเตรียมของ ไม่มีใครสงสัยนางสักคนดีจริง ๆ (หัวเราะในใจด้วยความเบิกบาน) แต่สามีกำมะลอนี่สิจะทำเช่นไร จะบอกว่าเมียท่านตายแล้ว ข้าเลยมาสวมร่างแทนเหรอ คงมีคนว่าข้าบ้าแน่นอน
ช่างเถอะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ไม่ถามก็เนียนไป สาวโสดอย่างข้าหาสามีได้แล้วแถมลูกอีกสาม ฮิฮิ ระหว่างเดินขึ้นเขาเนี่ยหลิงหัวเราะคิกคัก
“พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านว่าพี่สะใภ้แปลก ๆ ไปหรือไม่” น้องสามเอ่ยถามพี่ชาย
“เจ้าคิดมากไปแล้วน้องสาม ไม่เห็นมีอะไรแปลกนางอาจจะแค่ดีใจที่ได้ออกมานอกบ้านบ้าง หลังจากป่วยมาหลายวัน”
เดินมาสักพักก็ถึงป่าด้านนอก ป่าด้านนอกนี้ไม่ค่อยมีอะไรให้เก็บเกี่ยวมากนัก เพราะชาวบ้านเข้ามาหาของป่าเป็นประจำ ทำให้ต้องเดินลึกเข้าไปอีก เดินมาสักพักก็เจอลำธารน้ำใสเห็นฝูงปลามากมายแหวกว่าย เนี่ยหลิงเองก็ไม่เข้าใจ ทำไมถึงไม่จับปลาไปทำอาหารกัน ช่างเถอะใครไม่จับข้าจับเอง เนี่ยหลิงขุดหลุมข้างลำธารทำเป็นหลุมดักปลา
“น้องหญิงนั่นเจ้าทำอะไร” หยางหลงเอ่ยถาม
“ข้าจะทำหลุมดักปลาเจ้าค่ะ ท่านพี่”
“แต่ปลามีกลิ่นคาวแรงมากนะน้องหญิง ไม่มีผู้ใดกินกัน”
เนี่ยหลิ่งได้แต่ทอดถอนใจ มิน่าล่ะ ถึงได้อดอยาก ทั้ง ๆ ที่มีทรัพยากรมากมาย
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าจะลองหาวิธีดับกลิ่นคาวดู
อย่างน้อย ๆ เรายังมีอาหารเพิ่มนะเจ้าคะ”
“เช่นนั้นก็ตามใจน้องหญิงเถอะ”
“เช่นนั้นก็เดินต่อเถอะเจ้าค่ะท่านพี่ ขากลับค่อยแวะมาดู”
ส่วนน้องรองและน้องสามได้ล่วงหน้าไปวางกับดักก่อนแล้ว เมื่อสองสามีและภรรยาเดินตามมาทันทุกคนก็มุ่งหน้าเดินเข้าไป
เนี่ยหลิงสอดส่ายสายตาหาของที่กินได้จากความทรงจำ ในใจได้แต่สวดอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าประทานอาหารให้ข้าผู้ตกยากด้วยเถอะ
เดินมาได้ประมาณหนึ่งเค่อเนี่ยหลิงเจอองุ่นสีม่วงลูกใหญ่ นางจึงรีบเก็บทันทีพลันบอกให้สามีขุดต้นเล็ก ๆ ไปด้วย ได้มาสี่ต้น นางจะเอาไปปลูกที่บ้าน หยางหลงแม้จะไม่เข้าใจแต่ไม่เอ่ยปากถาม ส่วนน้องรองกับน้องสามแยกไปอีกด้านก่อนจะนัดมาเจอกันที่จุดนี้อีกหนึ่งชั่วยาม
