บทที่ 5 5

“นี่คงเป็นข้อดีของคุณสินะ รู้ใจหงส์ดียิ่งกว่ารู้ใจตัวเองเสียอีก” ถึงแม้จะพยายามระงับอารมณ์เอาไว้แล้ว แต่ก็อดประชดใส่เขาไม่ได้

“คุณงอนผมจริงๆ ด้วย” เขารั้งเธอเข้ามาหาแต่เธอก็ฝืนเอาไว้ จึงขยับเข้าไปและโอบกอดอย่างอ่อนโยน “โอ๋ๆๆ ไม่งอนนะครับคนดีของติ๊ก ติ๊กทำอะไรไม่ถูกใจบอกมาสิครับ ติ๊กจะได้ปรับปรุงตัวเอง”

“ปล่อยนะ” เธอดิ้นรนออกจากอ้อมแขนที่แสนอบอุ่นนั้นด้วยหัวใจที่อ่อนแอลงไปบ้าง “ยังไม่ต้องรู้หรอกว่าเรื่องอะไร  แต่ที่ฉันอยากรู้ก็คือคุณรักฉันจริงไหม”

“ทำไมถึงถามคำถามโง่ๆ แบบนี้ล่ะครับหงส์ ถ้าติ๊กไม่รักหงส์แล้วติ๊กจะแต่งงานกับหงส์ทำไม”

“หงส์ดีใจที่ได้ยินแบบนี้”

“มีใครทำให้คุณไม่สบายใจหรือเปล่า ผมไม่สบายใจเลยที่เห็นหงส์เป็นแบบนี้” ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มคล้ายหนุ่มอาหรับ ตั้งคำถามด้วยท่าทางซีเรียส รอฟังคำตอบด้วยหัวใจจดจ่อ

“ไม่มีหรอก หงส์ก็แค่อ่อนไหวเพราะเป็นวันนั้นของเดือน หงส์กลับก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกัน”

“ขับรถดีๆ นะครับ”  ธนายุทธยืนส่งคนรักด้วยสายตาจนเธอหายไป จึงปิดประตูห้องและกลับไปนอนต่อ เพราะเขาเพิ่งกลับมาถึงห้องเมื่อตอนตีสี่นี้เอง

วันต่อมา

รนิดากับธนายุทธเดินออกมาจากสตูดิโอ หลังจากถ่ายภาพพรีเว็ดดิ้งเสร็จเรียบร้อยแล้วในเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม

“คุณดูเหนื่อยๆ นะหงส์ ให้ผมขับรถไปส่งไหม”

“ไม่ต้องหรอก ติ๊กไปธุระของติ๊กเถอะ นัดเพื่อนไว้ไม่ใช่เหรอ” หลายชั่วโมงที่ง่วนอยู่กับการถ่ายภาพ เขามีสายเข้ามาไม่ต่ำกว่าสิบสาย พอถามก็บอกว่าเพื่อน แต่ลักษณะการแอบคุยของเขาบอกให้เธออย่าเชื่อคำพูดนั้น

มันแปลกแต่ก็เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลยสักนิด เมื่อก่อนเขาก็มีท่าทางแบบนี้อยู่บ่อยๆ เวลาที่อยู่ด้วยกัน แต่เธอกลับไม่ติดใจสงสัยจนกระทั่งได้ยินคำพูดของน้องสาว มันทำให้เธอเริ่มปะติดปะต่อเรื่องและพบว่าเขาเป็นแบบนี้มาพักใหญ่ๆ แล้ว

“แต่ติ๊กอยากไปส่งคุณก่อนนี่นา ติ๊กเป็นห่วงคุณนะ”

“หงส์ไม่เป็นอะไรหรอก ติ๊กรีบไปเถอะ”

“แน่ใจนะ”

“แน่สิ หงส์ไปก่อนนะ”

“โอเคครับ ขับรถดีๆ นะ ถึงแล้วโทรมาบอกผมด้วยล่ะ” ธนายุทธยืนส่งคนรักขับรถจากไปแล้วเดินไปที่รถของตัวเอง ขับรถออกไปโดยที่ไม่รู้เลยว่าถูกสะกดรอยตามจากคนที่เพิ่งกล่าวลา

.....................

รนิดาสะกดรอยตามคนรักมาครบสามวันแล้ว แต่สิ่งที่ได้มายังไม่มากพอที่จะเป็นข้อกล่าวหาว่าเขานอกใจตนได้เต็มร้อย แต่ก็ยังไม่ถอดใจซะทีเดียว แต่วันนี้ต้องพักเรื่องของเขาเอาไว้เพราะติดภารกิจต้องไปรับบิดาที่สนามบิน

“อะไรคะเตี่ย” รนิดารับของฝากจากบิดาเหมือนเช่นน้องสาวคนอื่นๆ แต่ที่ถามออกไปเพราะนอกจากแหวนกับกำไลหยกเข้าคู่กันแล้ว ของเธอพิเศษตรงที่มีหนังสือเก่าๆ อีกเล่มหนึ่งเป็นของฝากด้วย

“เตี่ยเก็บหนังสือเล่มนี้ได้ตอนที่ออกจากพระราชวังกู้กง ถามหาเจ้าของก็ไม่มี เตี่ยเห็นว่ามันเป็นนิยายก็เลยเอามาฝากลูกให้ลูกอ่าน” เพราะรู้ดีว่าลูกสาวคนนี้ชอบอ่านหนังสือนิยาย เขาจึงนำหนังสือที่เก็บได้มาฝากเธอ ถึงแม้สภาพของมันจะบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเป็นหนังสือเก่ามากๆ แล้วก็ตาม

“หงส์ชอบอ่านแนวทะเลทรายอย่างเดียวจ้ะเตี่ย แนวอื่นหงส์ไม่อ่านหรอก”

“อ่านไปเถอะลูก บางทีนิยายจีนอาจจะสนุกกว่านิยายทะเลทรายของลูกก็ได้นะ”

“แต่มันเป็นภาษาจีนนี่จ๊ะเตี่ย”

“ลูกก็เก่งภาษาจีนพอๆ กับภาษาไทยไม่ใช่เหรอ” นี่คืออีกหนึ่งสาเหตุที่เขาภูมิใจในตัวลูกสาวคนโตที่สุด เพราะเธอเป็นลูกสาวคนเดียวในบรรดาห้าคน ที่มีพรสวรรค์เกี่ยวกับภาษาจีนมากที่สุด เธอสามารถอ่านเขียนภาษาจีนได้มากพอๆ กับตน ผิดกับลูกคนอื่นที่พอจะพูดโต้ตอบกับตนได้บางคำเท่านั้น

“เตี่ยเขาให้อ่านก็อ่านเถอะเจ๊ มันอาจจะสนุกกว่าชีคของเจ๊ก็ได้” น้องสาวคนที่สองกล่าวเอาใจบิดา หลังจากนั้นคนอื่นๆ ก็ช่วยกันพูดอีกคนละคำสองคำ

“เออๆๆ เดี๋ยวเจ๊จะลองอ่านดูก็แล้วกัน เมื่อคืนเพิ่งอ่านชีคอัมรานจบไปพอดี ถ้าสนุกเดี๋ยวจะแปลลงเว็บเลยดีป่ะ”

“ถ้ามีคนติดตามอ่านเยอะ เจ๊ก็ติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์แล้วเอามาแปลขายเลยสิ” น้องสาวคนที่สี่เสนอ

“ก็ดีเหมือนกันนะ” เธอทำเป็นเห็นด้วยก่อนจะกลั้วหัวเราะอย่างมีความสุข เก็บหนังสือนิยายเล่มขนาดเอสี่ใส่กระเป๋าสะพายใบโตของตนเอง.. จากนั้นจึงเรียกพนักงานร้านอาหารเช็กบิลและพาบิดาแยกจากน้องๆ เพื่อเดินทางกลับบ้านแพ้ว

หลังจากเว้นว่างการติดตามข้อมูลในวันที่สี่ ในวันที่ห้าวันนี้เธอจึงกลับมาสะกดรอยเขาอีกครั้ง

แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม หลังจากสอนหนังสือเสร็จเขาก็มักจะแวะดื่มกับเพื่อนๆ ไม่ซ้ำหน้า ประมาณเที่ยงคืนไม่เกินตีหนึ่งก็จะขับรถกลับที่พัก นับเป็นความรู้ใหม่ที่ค้นพบว่าเขาคือหนุ่มสังคมคนหนึ่ง เพราะเข้าใจผิดมาตลอดว่าเขามักจะหมกมุ่นอยู่กับการทำรายงานเพื่อคว้าปริญญาเอก

วันที่ห้า วันที่หก วันที่เจ็ด วันที่แปดและวันที่เก้าผ่านไป จวบจนกระทั่งถึงวันที่สิบ

วันนี้เธอขับรถตามเขามาจนถึงห้องพัก แล้วเตรียมตัวจะวนรถกลับเหมือนทุกวัน แต่อยู่ดีๆ รถของเธอก็เกิดดับขึ้นมาดื้อๆ สตาร์ทอย่างไรก็ไม่ติด

“เป็นอะไรของมันนะ” เริ่มบ่นอย่างหงุดหงิดแล้วเปิดประตูลงไปตามคนรักให้ช่วยมาดูรถให้

“ลิฟต์เสียค่ะพี่ เมื่อกี้ไฟดับ ลิฟต์มันก็เลยค้าง” เจ้าหน้าที่ของหอพักบอกกับรนิดาที่กำลังจิ้มๆ ตรงปุ่มขึ้นลง

บทก่อนหน้า
บทถัดไป