บทที่ 8 ทวงแค้น : 8

'เพราะข้าคือเฟิงซูเหยา ผู้ที่สวรรค์ส่งกลับมาลงทัณฑ์คนโฉดชั่วพวกนั้น'

"คุณหนูต้องระวังตัวนะเจ้าคะ วันนี้ฮูหยินรองกับคุณหนูเจินเม่ยเสียหน้ามาก ข้ากลัวว่าพวกนางจะต้องกลับมาเอาคืนคุณหนูไม่ช้าก็เร็วเจ้าค่ะ"

อาถังหวั่นใจเหลือเกิน วันนี้คุณหนูนางอาจจะรับมือได้ แต่วันหน้าใครจะไปรู้ว่าคนบอบบางเช่นคุณหนูสามจะรับมือสองแม่ลูกนั้นได้อีกหรือเปล่า

"ต่อให้มีสองแม่ลูกนั้นมาเป็นสิบร่าง ข้าก็จะเอาคืนอย่างสาสม"

ประโยคนี้ของซูเหยาทำเอาอาถังขนลุกราวอยู่ในฤดูเหมันต์ที่หนาวเหน็บ

สาวรับใช้คนสนิทข้างกายมิชวนคุยต่อเพราะเห็นเฟิงซูเหยากำลังตั้งใจทานของว่างตรงหน้าอย่างสำราญใจ

วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง สายลมเย็น ๆ พัดโชยมาพร้อมกลิ่นมวลดอกไม้นานาชนิดที่อยู่ใน 'สวนสำราญใจ' สวนที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนในจวนฟ่าง

เฟิงซูเหยายืนเหม่อมองไปด้านหน้าอย่างใจเหม่อลอย คิดทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมาสองวันนี้ที่เกิดขึ้นกับตน

ด้วยความอยากรู้ว่าการกลับมาเกิดใหม่ในร่างนี้มาเพียงแค่ดวงวิญญาณหรือความสามารถที่มีชาติก่อนก็ติดตัวมาด้วย จึงได้ลองโคจรลมปราณดู ทว่าทุกครั้งที่นางลองขับลมปราณเพื่อเรียกใช้กำลังภายในอุปสรรคใหญ่หลวงที่คอยขัดขวางนางคือหัวใจดวงนี้มักจะเจ็บปวดจนแทบจะขาดใจ

"ไม่ใช่โรคของนางผู้นี้แน่"

เสียงพึมพำกับตนเองดังขึ้น

แม้ไม่เคยเป็นโรคหัวใจอ่อนแอมาก่อน แต่นางมั่นใจว่าอาการเจ็บแปลบที่หน้าอกมิใช่อาการโรคร้ายกำเริบ หากแต่เป็นความเจ็บปวดที่นางเป็นคนฝังมีดเล่มนั้นลงลึกสุดขั้วหัวใจในชาติที่แล้ว

"คุณหนูคิดอันใดอยู่เจ้าคะ"

อาถังวางข้าวของกระจุกกระจิกที่ต้องนำมาที่นี่ทุกครั้งยามคุณหนูนางมาพักผ่อน

"นั่นอะไร"

เฟิงซูเหยามองข้าวของที่อาถังเพิ่งนำมาโดยไม่ใส่ใจจะตอบคำถามสาวใช้

"ถุงเครื่องหอมไงเจ้าคะ"

เฟิงซูเหยารู้ว่านั่นคือถุงเครื่องหอม แต่นางแค่ไม่เข้าใจเหตุใดสาวรับใช้นางนี้ถึงได้เอามาวางไว้ที่นี่ หรือว่าอาถังจะเอามาปักเพื่อฆ่าเวลาตอนที่รอนางชื่นชมดอกไม้

"คุณหนูต้องเร่งมือแล้วนะเจ้าคะอีกไม่กี่วันจะถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพองค์ชายสามแล้ว"

"องค์ชายสาม?"

"คุณหนูมิต้องเขินอายเจ้าค่ะ อาถังอยู่ข้างคุณหนูและสนับสนุนคุณหนูเรื่ององค์ชายสาม"

ในสายตาของอาถัง หากฟ่างเซียนเซียนกับองค์ชายอี้เฟยได้ครองคู่กันจริงถือว่าสวรรค์เมตตา ชีวิตที่เคยถูกรังแกจากสองแม่ลูกนั้นจะได้มีคนคอยปกป้องสักที

'เหตุใดอาถังถึงได้พูดเหมือนว่าแม่นางฟ่างผู้นี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับองค์ชายสามกัน'

"เจ้าหมายถึงองค์ชายสามถังอี้เฟยที่ถูกเนรเทศออกจากวังหลวงตั้งแต่ลืมตาเกิด"

ใบหน้าหวานของสาวรับใช้เอียงอย่างใคร่สงสัยเล็กน้อย เหตุใดสายตาของคุณหนูยามพูดถึงชายที่แอบมีใจจึงดูว่างเปล่าเช่นนั้น ไม่เห็นเหมือนทุกครั้งที่เอ่ยชื่อชายในดวงใจออกมาพวงแก้มจะเปลี่ยนสีทันที

"มิใช่ว่าคุณหนูลืมองค์ชายสามแล้วนะเจ้าคะ" อาถังถามตามเนื้อผ้าที่เฟิงซูเหยาแสดงออก

สตรีที่ถูกถามจู่ ๆ ก็เกิดเห็นความทรงจำบางอย่างของฟ่างเซียนเซียนผุดขึ้นมา

'ข้าจะปักถุงเครื่องหอมนี้เป็นเครื่องบรรณาการวันพระราชสมภพองค์ชายอี้เฟย'

"ถุงเครื่องหอมนี้คือของขวัญวันสำคัญนั้นขององค์ชายอี้เฟย"

เฟิงซูเหยาขยับปากพูดตามสิ่งที่นางเห็นในความทรงจำเมื่อครู่

"คุณหนูมิได้ลืมองค์ชายสามจริง ๆ ด้วย"

อาถังดีใจที่อย่างน้อยคุณหนูก็ไม่ลืมความรักของนาง แม้จะเป็นความรู้สึกรักข้างเดียวก็ตาม

"เช่นนั้นก็ดี เจ้าเร่งเย็บปักที่เหลือให้เสร็จ อีกสามวันเราจะเดินทางไปพบท่านพ่อที่ค่ายทหาร"

เฟิงซูเหยาแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดี

นับว่าสวรรค์เมตตานางเสียจริงที่ให้มาเกิดใหม่ในร่างสตรีนางนี้ อย่างน้อยการแก้แค้นของนางก็ทำได้ง่ายขึ้น

"เดี๋ยวสิเจ้าคะคุณหนู ของสิ่งนี้คุณหนูต้องทำเองนะเจ้าคะ"

เฟิงซูเหยามิได้สนใจเสียงรั้งของสาวใช้ นางเร่งเดินกลับมาที่ห้องนอนเพื่อนั่งสมาธิฝึกเดินลมปราณต่อไป

รถลากคันหนึ่งบุกป่าฝ่าเขาเพื่อจะไปยังค่ายทหารทางตอนใต้ของเมืองหลวง การเดินทางช่างแสนรำเค็ญเพราะถนนหนทางทั้งขรุขระและยาวไกล สตรีสองนางที่นั่งอยู่ในรถม้าเริ่มปวดเมื่อยไปตามร่างกาย ใจอยากให้รถม้าหยุดแล้วพักยืดเส้นยืดสายสักหน่อยแต่กลัวจะยิ่งเดินทางช้าลง

เฟิงซูเหยาหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อก่อนจะไปไหนมาไหนคนที่นั่งในรถม้าคือบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง ส่วนด้านนอกจะมีนางคอยควบม้ารักษาความปลอดภัยอยู่เคียงข้าง ไม่ว่าจะเดินทางไปทิศใดย่อมขาดนางร่วมเดินทางไม่ได้สักครา

'ข้าอุ่นใจทุกครั้งที่มีเจ้าร่วมเดินทาง เหยาเหยา'

คำพูดหวานหูในตอนนั้นกลายเป็นเหมือนยาพิษในเวลานี้

อึก!

"โรคหัวใจคุณหนูกำเริบอีกแล้วหรือเจ้าคะ!"

อาถังที่นั่งอยู่ข้างกายเห็นคุณหนูนางนิ่วหน้าเจ็บปวดพร้อมยกมือกุมหน้าอกจึงรู้สึกตกใจกลัวขึ้นมา

หากเป็นเช่นนั้นจริง กลางป่าเขาเช่นนี้นางจะไปหาหมอจากที่ไหนมารักษา แถมการเดินทางมาครั้งนี้นางไม่ได้ส่งข่าวแจ้งทางแม่ทัพใหญ่ฟ่างเสียด้วย

"เปล่า ข้าไม่ได้เป็นอะไร สงสัยจะเดินทางนานเลยเหนื่อย"

"งั้นเราให้องครักษ์หยุดรถม้าก่อนดีไหมเจ้าคะ"

"ไม่ต้อง ข้ายังไหว เร่งเดินทางเถอะเดี๋ยวมืดค่ำเสียก่อน"

อาถังมองนายสาวอย่างเป็นห่วง แต่พอเห็นว่าสีหน้าดีขึ้นจากเมื่อครู่ขึ้นมาจึงหายใจทั่วท้อง สองมือคอยพัดวีสลับนวดแขนขาให้เฟิงซูเหยาอย่างไม่คิดเหน็ดเหนื่อย

บทก่อนหน้า
บทถัดไป