บทที่ 3

ฉันพิงหัวเตียง พยักหน้าอย่างอ่อนแรง “วางไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวฉันดื่มทีหลัง ตอนนี้ฉันเวียนหัวนิดหน่อย”

มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันไม่คิดจะกินยาต่อแน่ๆ ทำได้แค่รอให้เชอร์ลีย์ออกไปก่อนแล้วค่อยเทมันทิ้ง

แต่แล้วตอนนั้นเอง ประตูห้องก็ถูกแบรนดอนผลักเข้ามา เขาอยู่ในชุดสูทดูหล่อเนี๊ยบและสดใส

“แคโรไลน์ คุณกินยาแล้วหรือยัง”

ฉันเกือบลืมไปเลยว่าทุกเช้าก่อนแบรนดอนจะไปทำงาน เขาจะแวะมาที่ห้องเพื่อคุยกับฉันก่อน

ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูด เชอร์ลีย์ก็รีบตอบ “ยังเลยค่ะ คุณนายจอร์แดนบอกว่าเวียนหัว”

ทันทีที่เธอพูดจบ ฉันก็เห็นชัดเลยว่าทั้งสองคนแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างมีเลศนัย ราวกับว่ากำลังแบ่งปันข้อมูลบางอย่างกันอยู่

พวกเขาสมคบคิดกันอยู่แน่ๆ!

แบรนดอนมองฉันอย่างตำหนิ “แคโรไลน์ คุณต้องกินยาให้ตรงเวลานะ ไม่อย่างนั้นเมื่อไหร่จะหายดีล่ะ หืม?”

น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน แสดงให้เห็นถึงความอดทนอย่างสูงที่มีต่อฉัน

“เดี๋ยวผมป้อนให้”

พูดจบเขาก็หยิบถ้วยยาขึ้นมา ตักยาหนึ่งช้อนแล้วยื่นมาจ่อที่ริมฝีปากของฉัน

ฉันค่อยๆ ผลักมือเขาออกไป แกล้งทำเป็นเขินอาย “เชอร์ลีย์ยังอยู่นะคะ คุณทำอะไรเนี่ย”

“แบรนดอน คุณไปทำงานก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันดื่มเองทีหลัง”

แบรนดอนหัวเราะเบาๆ “เชอร์ลีย์ก็เหมือนคนในครอบครัว ไม่ต้องกังวลว่าเธอจะเห็นหรอก”

“อีกอย่างนะแคโรไลน์ ถ้าคุณไม่กินยา แล้ววันนี้ผมจะไปมีสมาธิทำงานได้ยังไง รีบดื่มเถอะนะ อย่าทำให้ผมเป็นห่วงเลย”

มือของฉันที่อยู่ใต้ผ้าห่มกำแน่น

ฉันไม่เคยคิดเลยว่าแบรนดอนจะคะยั้นคะยอให้ฉันกินยาขนาดนี้

แต่พอมาคิดดูแล้ว ทุกเช้าก่อนไปทำงาน เขาจะคอยเฝ้าดูฉันกินยาทุกครั้ง

เหตุผลเบื้องหลังเรื่องนี้ แค่คิดก็น่าขนลุกแล้ว

ฉันฝืนยิ้ม พลางคิดหาวิธีที่จะเลี่ยงการกินยาในวันนี้ให้ได้

ทันใดนั้น โทรศัพท์ของแบรนดอนก็ดังขึ้น ฉันรีบคว้าถ้วยยามาถือไว้ “แบรนดอน คุณไปรับโทรศัพท์เถอะค่ะ เดี๋ยวฉันดื่มเอง”

เมื่อเห็นดังนั้น เขาก็ยิ้มและพยักหน้า ก่อนจะเดินไปที่ริมหน้าต่าง

ระหว่างที่เขากำลังคุยโทรศัพท์ ฉันก็พูดกับเชอร์ลีย์ว่า “ไปเอาน้ำตาลมาให้ฉันหน่อยสิ กินยาแล้วมันขมปาก”

เชอร์ลีย์ทำหน้าแปลกๆ “คุณนายจอร์แดน ปกติคุณนายไม่เคย...”

“แล้วตอนนี้ฉันอยากกินไม่ได้หรือไง ต้องให้พูดซ้ำสองรอบด้วยเหรอ”

ฉันอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและพูดเสียงแข็งออกไป

เชอร์ลีย์ถึงได้ยอมออกจากห้องไปเพื่อไปเอาน้ำตาลมาให้ฉัน

ฉันฉวยโอกาสนี้เทยาทั้งถ้วยลงไปใต้เตียง

พอดีกับที่แบรนดอนคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วหันกลับมา

หัวใจฉันเต้นรัว กลัวว่าเขาจะสังเกตเห็นอะไรผิดปกติ

โชคดีที่แบรนดอนไม่ได้สังเกตเห็นอะไร เขามานั่งลงข้างเตียง แล้วใช้หลังมือลูบแก้มของฉันเบาๆ

“โทรศัพท์จากบริษัทน่ะ แคโรไลน์ รีบหายเร็วๆ นะ ผมจะได้ไม่ต้องบริหารบริษัทแทนคุณ”

มือของเขาอุ่นวาบอยู่บนแก้มของฉัน

แต่ฉันกลับตัวสั่นไม่หยุด

นี่คือมือของคนรัก หรือมือของฆาตกรกันแน่?

เขาโน้มตัวลงมาจูบที่หน้าผากของฉัน

ในขณะเดียวกัน เชอร์ลีย์ก็กลับมาพร้อมกับน้ำตาล ใบหน้าของเธอหมองคล้ำลงด้วยความหึงหวงเมื่อเห็นภาพนั้น

ฉันหยิบน้ำตาลที่เชอร์ลีย์เอามาใส่ปาก แล้วล้มตัวลงนอนตามปกติ

หลังจากแบรนดอนห่มผ้าให้ฉันเรียบร้อย เขาก็ออกจากห้องไป

ปกติแล้วป่านนี้ฉันน่าจะหลับไปแล้ว พวกเขาจะต้องชะล่าใจอย่างแน่นอน

ดังนั้นฉันจึงรีบลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง จ้องมองลงไปยังด้านล่าง

แต่ฉันก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ แบรนดอนรับเสื้อโค้ทกับกระเป๋าเอกสารจากเชอร์ลีย์ แล้วก็ขึ้นรถไปตามปกติ

หรือว่าฉันจะคิดผิดไป?

เป็นไปได้ไหมว่าแบรนดอนไม่รู้เรื่องแผนการของเชอร์ลีย์ และเขาก็ถูกเธอหลอกเหมือนกัน?

แต่ไหนแต่ไรมาตั้งแต่เชอร์ลีย์มาอยู่ที่บ้านของเรา ฉันก็ดูแลเธอเหมือนคนในครอบครัว ทำไมเธอถึงทำกับฉันแบบนี้ได้

พอนึกถึงสายตาเย็นชาที่เธอมองฉันก่อนหน้านี้ ฉันก็พลันตระหนักรู้ขึ้นมา

หรือว่าเชอร์ลีย์จะหลงรักแบรนดอน แล้วใช้วิธีนี้เพื่อจัดการกับฉัน?

ยิ่งคิดก็ยิ่งน่ากลัว ฉันอยากจะบอกเรื่องนี้กับแบรนดอนทันที

แต่ตั้งแต่ฉันป่วย ฉันก็แทบไม่ได้ใช้โทรศัพท์ เอาแต่นอนซมอยู่ในห้องนี้ทั้งวัน

ถ้าฉันผลีผลามออกไปหาแบรนดอน เชอร์ลีย์ต้องรู้แน่

ฉันทำได้เพียงนอนอยู่บนเตียง จ้องมองเพดานมืดทึบ และอดทนต่อไป

แต่เมื่อคืนฉันก็นอนไม่ค่อยหลับ ไม่นานก็ต้านทานความง่วงงุนที่ถาโถมเข้ามาไม่ไหวและผล็อยหลับไป

พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาเย็นแล้ว แสงอาทิตย์ยามอัสดงเพียงริ้วบางๆ สาดส่องเข้ามาผ่านม่านหนาทึบ

ทันใดนั้น ประตูก็เปิดออก ฉันรีบหลับตาลง แกล้งทำเป็นหลับ

ปกติแล้วเวลานี้จะเป็นเชอร์ลีย์ที่เข้ามาป้อนยาให้ฉัน

แต่เธอมักจะปลุกฉันเสมอ ฉันเลยไม่เคยรู้เลยว่าเธอทำอะไรบ้างตอนที่ฉันหลับอยู่

ฉันรู้สึกได้ว่ามีคนค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ ราวกับกำลังถูกจับจ้องด้วยสายตาอสรพิษ

วินาทีต่อมา เชอร์ลีย์ก็พูดขึ้น “ทำไมแกยังไม่ตายอีก ถ้าแกตาย แบรนดอนก็จะเป็นของฉัน”

“ทำไมแกถึงมีทุกอย่างมาตั้งแต่เกิด เก่งไปซะทุกเรื่อง ทำไมเรื่องดีๆ ทั้งหมดต้องตกเป็นของแก ทำไมแบรนดอนต้องเป็นของแกด้วย”

“ไปตายซะ ไปตายซะ!”

น้ำเสียงของเชอร์ลีย์ราวกับปีศาจ ทำให้ฉันตัวสั่นสะท้าน

ฉันกัดฟันแน่น ทนฝืนเอาไว้ ทันใดนั้น ฉันก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ใบหน้า

ฉันรู้ตัวว่าเธอใช้บางอย่างทิ่มฉัน ด้วยความกลัวว่าเธอจะทำอะไรมากกว่านี้ ฉันจึงแกล้งทำเป็นเพิ่งตื่น

“อืม... เชอร์ลีย์ นี่กี่โมงแล้วเหรอ”

“สี่โมงเย็นแล้วค่ะ คุณนายจอร์แดน”

พอฉันลืมตาขึ้น ใบหน้าของเชอร์ลีย์ก็เรียบเฉยเหมือนเคย ราวกับว่าผู้หญิงวิปลาสเมื่อครู่ไม่ใช่เธอ

เธอยื่นถ้วยยามาให้ฉัน “คุณนายคะ ได้เวลาทานยาแล้วค่ะ”

ฉันกำลังจะใช้ข้ออ้างเดิมเมื่อเช้า แต่เธอก็ยื่นน้ำตาลมาให้ด้วยอีกมือ “คุณนายคะ น้ำตาลเตรียมไว้ให้แล้วค่ะ”

ฉันรู้ว่าวันนี้เธอคงไม่ยอมไปไหนแน่ถ้าไม่เห็นฉันกินยาจนหมด ฉันจึงทำได้แค่ฝืนใจดื่มมันลงไปแล้วแกล้งนอนนิ่งๆ

“เธอออกไปได้แล้ว ฉันอยากจะนอนต่ออีกหน่อย”

หลังจากเชอร์ลีย์ออกไป ฉันก็รีบลุกวิ่งไปที่ห้องน้ำ บังคับตัวเองให้อาเจียนยาออกมาทั้งหมด

ทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงแตรจากรถยนต์

ฉันรีบเดินไปที่หน้าต่าง และก็เป็นไปตามคาด แบรนดอนกลับมาแล้ว

ฉันกำลังจะบอกเขาทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่แล้วฉันก็เห็นแบรนดอนลงจากรถแล้วบีบก้นของเชอร์ลีย์

เชอร์ลีย์หน้าแดงก่ำแล้วซบลงในอ้อมแขนของแบรนดอนทันที

ฉันราวกับถูกฟ้าผ่า ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น

เป็นเขาจริงๆ แบรนดอนที่อยู่กับฉันมาแปดปี คนที่ทะนุถนอมฉันราวกับแก้วตาดวงใจ กลับต้องการจะทำร้ายฉัน

ตั้งแต่ตอนที่ฉันพบว่ายามีปัญหา ฉันไม่เคยอยากหรือกล้าที่จะสงสัยแบรนดอนเลย

เพราะฉันไม่อยากจะเชื่อว่าความรักความผูกพันตลอดหลายปีของเราจะเป็นของปลอม

แต่ตอนนี้ ภาพที่เห็นอยู่ชั้นล่างตบหน้าฉันอย่างแรง

ที่แท้แล้ว ความรักลึกซึ้งก็สามารถเสแสร้งกันได้

ใบหน้าของฉันซีดขาวราวกับกระดาษ ฉันรีบดึงม่านปิดให้แน่นเพื่อประคองตัวเองไม่ให้ล้มทั้งยืน

ฉันได้สติอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินขึ้นมาข้างบน พยายามตะเกียกตะกายกลับไปที่เตียง

ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าหยุดลงที่หน้าประตูห้อง

แบรนดอนถามขึ้นว่า “วันนี้เธอกินยาหรือยัง”

เชอร์ลีย์หัวเราะเบาๆ “กินแล้วสิคะ นังโง่แคโรไลน์นั่นนึกว่าเป็นยาช่วยชีวิต รีบดื่มรวดเดียวจนหมดเลย”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป