บทที่ 5
ทันทีที่พูดจบ แบรนดอนก็ไม่สามารถรั้งเชอร์ลีย์ให้อยู่ต่อได้อีก
เชอร์ลีย์ตวัดสายตามองฉันอย่างอิจฉา และตอนที่เดินผ่านแบรนดอน เธอก็ใช้นิ้วลากไล้ไปตามแผ่นหลังของเขา แสดงเจตนาอย่างชัดเจน
แบรนดอนเหลือบมองฉันอย่างระแวดระวัง ราวกับกำลังดูว่าฉันสังเกตเห็นปฏิสัมพันธ์ลับๆ ของพวกเขาสองคนหรือไม่
ฉันยังคงกินอาหารต่อไปอย่างใจเย็น แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับฉันในตอนนี้คือการดูแลสุขภาพของตัวเอง หลังจากกินยามาหลายปี ร่างกายของฉันก็ทรุดโทรมอย่างหนัก
มีเพียงการฟื้นฟูสุขภาพให้กลับมาแข็งแรงเท่านั้น ฉันถึงจะมีแรงต่อสู้กับคนสองคนนี้ให้ถึงที่สุด
หลังจากกินอาหารเสร็จ ฉันก็รู้สึกง่วงงุนขึ้นมา
แบรนดอนมองฉันแล้วถามเบาๆ “ง่วงแล้วเหรอ”
ฉันพยักหน้า วันนี้ฉันพักผ่อนไม่เพียงพอ จึงเป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกง่วงในตอนนี้
เขายิ้มอย่างอ่อนใจ “กินอิ่มปุ๊บก็ง่วงปั๊บเลยนะ เดี๋ยวฉันอุ้มไปที่ห้อง”
ในอดีต ฉันไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้มีอะไรผิดปกติเลย มีแต่คิดว่ามันช่างหวานชื่น
แต่ตอนนี้ ฉันกลับระแวงทุกคำพูดของเขา
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณจนกว่าจะกินเสร็จ นานๆ ทีเราจะได้กินข้าวด้วยกัน”
ฉันรีบพูดออกไปเพราะกลัวว่าถ้ากลับไปแล้วพวกเขาจะบังคับป้อนยา
แบรนดอนพยักหน้า “ได้สิ งั้นฉันจะรีบกิน จะได้ไม่ต้องรอนาน”
การแสดงความอ่อนโยนของเขาทำให้ฉันรู้สึกราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเพียงความฝัน
เมื่อฝันสลาย ฉันก็ยังมีแบรนดอนที่รักฉันอย่างสุดซึ้ง และเรื่องราวเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
หลังจากกินอาหารเสร็จ แบรนดอนก็ก้มลงอุ้มฉันกลับไปที่ห้อง
“ผอมลงไปเยอะเลยนะ ต้องกินเยอะๆ แล้วก็ดูแลสุขภาพให้ดีกว่านี้”
ฉันบอกไม่ได้ว่าเขาจริงใจหรือไม่ เลยทำได้เพียงพยักหน้า
เมื่อกลับมาถึงห้องที่สลัวราง แบรนดอนวางฉันลงบนเตียงและห่มผ้าให้ฉันอย่างเบามือ
ฉันง่วงมากจริงๆ จนกระทั่งสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันทีเมื่อตระหนักได้ว่าแบรนดอนยังคงยืนอยู่ข้างเตียง
เขากำลังจ้องมองฉันอยู่!
ความคิดนี้ทำให้ฉันรู้สึกเย็นสันหลังวาบจนข่มตาหลับไม่ลง ฉันแกล้งหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอราวกับว่าหลับไปแล้ว
ไม่กี่นาทีต่อมา แบรนดอนตบไหล่ฉันเบาๆ “แคโรไลน์ หลับแล้วเหรอ”
เขายังไม่ไปไหน เขายังคงยืนมองฉันอยู่ข้างเตียง
ในตอนนั้นเอง ประตูก็เปิดออก และเชอร์ลีย์ก็เดินเข้ามา
“หลับแล้วเหรอ”
แบรนดอนตอบ “ฉันเฝ้าดูอยู่สักพักแล้วล่ะ หลับสนิทเลย”
ฉันยังคงแกล้งหลับต่อไปพลางเงี่ยหูฟังบทสนทนาของพวกเขา
“เริ่มพรุ่งนี้เลย เพิ่มปริมาณยา การที่วันนี้เธอลุกขึ้นมาได้แสดงว่าเธอเริ่มดื้อยาแล้ว เราต้องเพิ่มปริมาณยา”
ฉันรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง แบรนดอนเป็นนักแสดงที่เก่งกาจจริงๆ ถึงแม้ฉันจะรู้ธาตุแท้ของเขาแล้ว แต่การแสดงของเขาก็ยังทำให้ฉันตกใจอยู่ดี
หลังจากที่พวกเขาทั้งสองคนออกไป ห้องก็กลับสู่ความเงียบ เหลือเพียงฉันอยู่บนเตียงคนเดียว
ฉันอยากจะร้องไห้ แต่ก็ไม่ได้ร้องออกมา ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลามาร้องไห้
ในสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ ฉันแทบไม่ต่างอะไรกับการถูกพวกเขากักขัง สิ่งเร่งด่วนคือต้องหาทางติดต่อโลกภายนอกให้ได้ เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง
แต่เชอร์ลีย์อยู่บ้านทั้งวัน และแบรนดอนก็กลับมาทุกวัน ถึงอยากจะติดต่อโลกภายนอกก็ไม่มีทางทำได้
คืนนั้นฉันเผลอหลับไปขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้
เช้าวันต่อมา ฉันก็พบว่าตัวเองมีเรี่ยวแรงกลับคืนมาอย่างน่าประหลาดใจ
ก็เพราะฉันหยุดยามาสองวันแล้วและได้กินข้าวเข้าไปบ้าง ดูเหมือนว่าวิธีนี้จะได้ผลสำหรับตอนนี้
เชอร์ลีย์นำยามาให้ฉันเหมือนเช่นเคย
พอเห็นว่าฉันตื่นแล้ว เธอก็ประหลาดใจ “คุณนายจอร์แดนคะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ”
ฉันพยักหน้า “เมื่อคืนฉันนอนเร็ว ไม่รู้ทำไมสองวันนี้ฉันรู้สึกเวียนหัวมากขึ้นเรื่อยๆ เธอได้ลดยาของฉันหรือเปล่า”
ฉันจงใจพูดแบบนี้เพื่อไม่ให้เชอร์ลีย์กับแบรนดอนสงสัยในสภาพของฉันตอนนี้
เป็นไปตามคาด เชอร์ลีย์พยักหน้าแล้วพูดว่า “อาจจะเป็นเพราะคุณทานยานี้มานานเกินไปแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวฉันจะบอกให้คุณจอร์แดนปรึกษาหมอเพื่อเปลี่ยนยาตัวใหม่ให้นะคะ”
ฉันไม่ได้พูดอะไรแล้วรับถ้วยยามา
รสขมนั้นแรงกว่าปกติ แสดงว่าพวกเขาเพิ่มปริมาณยาจริงๆ ด้วย
ฉันขมวดคิ้วแล้วดื่มมันลงไปรวดเดียว เชอร์ลีย์ดูพอใจเมื่อเห็นฉันกินยาจนหมด
หลังจากเธอออกไป ฉันก็เข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาเจียนมันออกมาเหมือนที่เคยทำ
พออาเจียนเสร็จ ฉันก็กดกริ่งเรียกให้เชอร์ลีย์เตรียมอาหารเช้าให้
เชอร์ลีย์แปลกใจเล็กน้อย แต่เมื่อรู้ว่าฉันเริ่มดื้อยาแล้ว เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันผิดปกติอะไรนัก
หลังอาหารเช้า ฉันงีบหลับไปเพื่อเก็บแรง
สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือการรอโอกาสที่จะติดต่อกับโลกภายนอก
ถ้าฉันยังอยู่ในสภาพเดิม ต่อให้มีโอกาสก็คงหนีไปไม่ได้
ระหว่างที่หลับอยู่ ฉันรู้สึกว่ามีมือมาสัมผัสใบหน้า
ฉันสะดุ้งตกใจและรีบลืมตาขึ้น
เป็นเบร็ตต์ที่นั่งอยู่ข้างเตียง เขามองฉันด้วยดวงตาเบิกกว้างอย่างเป็นห่วง
เมื่อเห็นฉันตื่น เขาก็ร้องออกมาว่า “แม่ครับ แม่ตื่นแล้วเหรอครับ”
พอเห็นว่าเป็นเบร็ตต์ ฉันก็โล่งใจ “วันนี้วันศุกร์เหรอลูก”
เบร็ตต์พยักหน้า “ใช่ครับแม่ วันนี้ผมหยุดเรียน แล้วพรุ่งนี้ก็จะได้อยู่กับแม่ทั้งวันเลย!”
ฉันพลันตระหนักได้ว่านี่คือโอกาสที่ฉันรอคอย!
ฉันพยักหน้าแล้วเหลือบมองไปที่ประตู
“แบรนดอนหรือเชอร์ลีย์เคยทำตัวแปลกๆ บ้างไหม”
เบร็ตต์ส่ายหน้า “ไม่ครับ แต่ดูเหมือนว่าเชอร์ลีย์จะไม่ชอบผมเลย เธอชอบแต่น้องๆ เวลาผมกลับมาบ้านเธอก็ไม่คุยกับผม”
ฉันชะงักไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอาเรียเรียกเธอว่าแม่
ดูเหมือนว่าเชอร์ลีย์จะคิดว่าลูกๆ ของฉันเป็นลูกของเธอไปแล้ว
เบร็ตต์โตกว่าและดูแลตัวเองได้แล้ว จึงไม่เป็นที่ชื่นชอบของเธอเป็นธรรมดา
ฉันโกรธจัด แต่ไม่ได้แสดงออกมา “แล้วลูกได้บอกพ่อหรือเปล่า”
เบร็ตต์พยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้าอย่างเศร้าใจ “บอกครับ แต่พ่อบอกว่าผมคิดมากไปเอง พ่อบอกว่าเชอร์ลีย์ยุ่งเกินกว่าจะมาดูแลผม และผมควรจะจัดการเรื่องของตัวเองได้แล้ว”
พอได้ยินแบบนั้น ฉันก็ไม่อาจเก็บซ่อนความโกรธไว้ได้อีกต่อไป
เบร็ตต์อายุแค่แปดขวบ เขาจะจัดการเรื่องของตัวเองได้อย่างไรกัน
แบรนดอน ไอ้สารเลวนั่น มันละเลยเบร็ตต์เพื่อปกปิดเรื่องชู้สาวของมันกับเชอร์ลีย์!
ฉันพยักหน้าแล้วพูดว่า “เบร็ตต์ ลูกช่วยอะไรแม่หน่อยได้ไหม”
เขาพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น ดวงตาเป็นประกาย
“แม่บอกมาเลยครับ ผมทำได้!”
ในที่สุดฉันก็พูดออกมา “ตอนนี้แม่ไม่มีโทรศัพท์ ลูกช่วยไปหามันให้แม่หน่อยได้ไหม”
ตั้งแต่ฉันป่วย ฉันก็ย้ายออกจากห้องนอนใหญ่มาอยู่ห้องแยกต่างหาก
โทรศัพท์ของฉันอยู่ในโต๊ะข้างเตียงในห้องนอนใหญ่ ถ้าฉันเป็นคนไปเอาเองคงน่าสงสัย แต่ถ้าเป็นเบร็ตต์ไปก็จะไม่เป็นไร















































































































































































































































































































































































































































































































































































































