บทที่ 6
เบร็ตต์พยักหน้าแล้ววิ่งออกไปอย่างดีใจ
ครู่ต่อมา เขากลับมาพร้อมกับส่ายหน้าให้ฉัน
"ผมหาโทรศัพท์แม่ไม่เจอครับ เจอแต่โทรศัพท์ของเชอร์ลีย์"
ฉันถึงกับผงะ "โทรศัพท์ของเชอร์ลีย์อยู่ในโต๊ะข้างเตียงของแม่เนี่ยนะ"
เบร็ตต์พยักหน้า
ความรู้สึกคลื่นไส้ตีตื้นขึ้นมาในใจ ดูเหมือนว่าคนสองคนนี้จะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันแล้ว และเชอร์ลีย์ก็คงคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของบ้านหลังนี้ไปแล้ว
ฉันแค่นยิ้มในใจ พลางคิดว่า ‘คิดว่าตัวเองคู่ควรนักหรือไง’
ฉันยังคงตีหน้าเรียบเฉยและพูดกับเบร็ตต์ต่อ "งั้นลูกไปดูที่ห้องทำงานของพ่อสิ ว่าจะเจอไหม ถ้ามีใครรู้เข้า จำไว้นะว่านี่เป็นความลับเล็กๆ ของเรา ห้ามบอกใครเด็ดขาด เข้าใจไหม"
เด็กๆ มักจะสนใจภารกิจแบบนี้อยู่แล้ว พอเบร็ตต์ได้ยินดังนั้น เขาก็รีบวิ่งตื๋อออกไปทันที
น่าเสียดายที่ไม่นานนัก เขาก็กลับมามือเปล่า "ลิ้นชักในห้องพ่อล็อกหมดเลยครับ ผมหาไม่เจอ"
ดูเหมือนว่าแบรนดอนจะซ่อนโทรศัพท์ของฉันไว้เพื่อไม่ให้ฉันติดต่อโลกภายนอกได้
ฉันลูบหัวเบร็ตต์ "หาไม่เจอก็ไม่เป็นไรนะลูก แค่จำไว้ว่านี่เป็นความลับของเรา ห้ามบอกใครเด็ดขาด"
เบร็ตต์พยักหน้ารับอย่างหนักแน่นแล้วเดินออกจากห้องของฉันไป
แต่ฉันกลับได้แต่นั่งจ้องมองห้องที่มืดมิด รู้สึกเคว้งคว้าง แบรนดอนจะเอาโทรศัพท์ของฉันไปซ่อนไว้ที่ไหนกันนะ หรือว่าจะอยู่ในห้องทำงาน ดูท่าว่าฉันต้องหาโอกาสเข้าไปดูเสียแล้ว
ในไม่ช้า โชคชะตาก็เข้าข้างฉันอีกครั้ง คืนนั้นไฟดับ
เบร็ตต์มาบอกฉันว่าเขาจะออกไปทานอาหารเย็นข้างนอกกับแบรนดอนและเชอร์ลีย์ ฉันพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
แต่ในใจฉันกลับลิงโลด โอกาสมาถึงแล้ว
หลังจากที่พวกเขาออกไป บ้านทั้งหลังก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดและมืดมิดไปทุกหนทุกแห่ง
ฉันลุกขึ้นไปที่ห้องทำงานชั้นบน แล้วบิดลูกบิดประตู
ห้องทำงานเงียบสงัด แต่หัวใจของฉันกลับเต้นรัวราวกับกลอง แม้จะรู้ว่าไม่มีใครอยู่บ้าน แต่ฉันก็ยังกลัวจนตัวสั่น
ตู้กระจกในห้องทำงานสะท้อนแสงจันทร์จากภายนอก จัดแสดงความสำเร็จบางส่วนของบริษัทในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ฉันเหลือบมองผ่านๆ แล้วหันไปให้ความสนใจกับโต๊ะทำงานของแบรนดอน
ฉันเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชัก แต่ก็เป็นอย่างที่เบร็ตต์บอก มันล็อกอยู่ แบรนดอนเป็นคนรอบคอบมาก เขาไม่มีทางทิ้งกุญแจไว้ในที่ที่หาง่ายๆ แน่
เป็นไปตามคาด ฉันค้นหาไปรอบๆ ก็ไม่เจออะไรเลย
ฉันยืนนิ่งอยู่ในห้องทำงาน พลางครุ่นคิดอย่างละเอียดว่าแบรนดอนอาจจะซ่อนกุญแจไว้ที่ไหน
เท่าที่ฉันรู้จักเขา เขาไม่ไว้ใจใครนอกจากตัวเอง นั่นหมายความว่าเขาจะพกกุญแจติดตัวไปด้วย
แต่เมื่อเขาไม่อยู่บ้าน ฉันก็จนปัญญา
ทันใดนั้น ฉันก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
แบรนดอนแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวชัดเจนมาก ตัวอย่างเช่น เวลาออกไปทานอาหารเย็นเหมือนคืนนี้ เขาจะไม่พกกระเป๋าเอกสารหรือรับโทรศัพท์เรื่องงาน
กุญแจน่าจะอยู่ในกระเป๋าเอกสารของเขา
ฉันตื่นเต้นรีบลงไปชั้นล่างตรงทางเข้าบ้านและเจอกระเป๋าเอกสารของแบรนดอน
และก็จริงดังคาด พวงกุญแจสีเงินพวงหนึ่งอยู่ในนั้น
ฉันคว้ากุญแจแล้วรีบวิ่งขึ้นไปชั้นบน เปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานทีละอัน ในที่สุดฉันก็เจอโทรศัพท์ของฉันในลิ้นชักอันหนึ่ง
ฉันรีบกดปุ่มเปิดเครื่องอย่างใจจดใจจ่อ แต่โทรศัพท์ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
นี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะฉันไม่ได้ใช้มันมาปีกว่าแล้ว แบตเตอรี่คงหมดเกลี้ยง
แต่เมื่อไฟดับ ฉันก็ไม่มีทางชาร์จมันได้
ตอนนี้โทรศัพท์ก็เป็นแค่เศษเหล็กไร้ค่าชิ้นหนึ่งสำหรับฉัน
ขณะที่ฉันกำลังกังวล ไฟในห้องทำงานก็สว่างวาบขึ้นมาทันที
หัวใจฉันหล่นวูบ คิดว่าแบรนดอนกลับมาแล้ว
แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวใดๆ ในบ้าน ฉันจึงรู้ว่าไฟมาแล้ว
เยี่ยมไปเลย สวรรค์ก็ยังเข้าข้างฉัน!
ฉันรีบหาที่ชาร์จมาเสียบโทรศัพท์อย่างตื่นเต้น ไม่นานหน้าจอก็สว่างขึ้น
ฉันใส่รหัสผ่านตามความทรงจำ แต่ก็ใช้ไม่ได้
ฉันถึงได้รู้ว่าแบรนดอน ไอ้สารเลวนั่น เปลี่ยนรหัสผ่านของฉันไปแล้ว
ฉันพยายามอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ผล จนโทรศัพท์ถูกล็อกเป็นเวลาสามสิบวินาที
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันคงต้องเสียโอกาสที่หาได้ยากนี้ไป ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วคิดว่าแบรนดอนอาจจะใช้รหัสผ่านอะไร
หลังจากผ่านไปสามสิบวินาที ฉันลองใส่ข้อมูลวันเกิดของเชอร์ลีย์ลงไปตามสัญชาตญาณ และโทรศัพท์ก็ปลดล็อกได้
ความโกรธแค้นพลุ่งพล่านในใจฉัน มันแย่พอแล้วที่แบรนดอนกับเชอร์ลีย์ลักลอบคบชู้กัน แต่นี่ยังมาตั้งรหัสผ่านโทรศัพท์ของฉันเป็นวันเกิดของเชอร์ลีย์อีก มันเป็นการหยามหน้าฉันซึ่งๆ หน้า
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาจมอยู่กับเรื่องนั้น ฉันรีบโทรหาเพื่อนสนิทของฉัน เคธี่ พาเทล
ณ จุดนี้ เธอเป็นคนเดียวที่ฉันไว้ใจได้
สายต่อติดอย่างรวดเร็ว และน้ำเสียงของเคธี่ก็ฟังดูเนือยๆ เหมือนเคย
"ฮัลโหล แบรนดอนเหรอ แคโรไลน์ของเราเป็นยังไงบ้าง"
ดูเหมือนว่าแบรนดอนจะใช้โทรศัพท์ของฉันโทรหาเคธี่บ่อยๆ ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่ทักแบบนี้
ฉันเอ่ยปาก "เคธี่ ฉันเอง!"
เคธี่ถึงกับอึ้งไป "แคโรไลน์! เธอเป็นยังไงบ้าง ปีที่ผ่านมาฉันอยากไปเยี่ยมเธอใจจะขาด แต่แบรนดอนไม่ยอมให้ฉันไปเลย ทำเอาฉันโมโหสุดๆ เธอต้องช่วยฉันจัดการเขานะ!"
เมื่อได้ยินเสียงของเคธี่ น้ำตาก็คลอหน่วยขึ้นมาในดวงตา
"เคธี่ เราทุกคนถูกแบรนดอนหลอก"
ฉันเล่าทุกอย่างที่ฉันค้นพบให้เธอฟัง
เคธี่โกรธจัด "เหลือเชื่อ! แบรนดอนกับเชอร์ลีย์ทำเรื่องแบบนี้เหรอเนี่ย แล้วฉันก็ถูกหลอกมาเป็นปีๆ เลยเหรอเนี่ย!"
"รอเดี๋ยวนะ ฉันจะไปรับเธอเดี๋ยวนี้เลย"
ฉันรีบปลอบให้เคธี่ใจเย็นลง "เคธี่ ยังก่อน ตอนนี้ลูกๆ ยังอยู่กับพวกเขา ฉันหนีไปคนเดียวง่ายๆ ก็ได้ แต่ฉันต้องเอาลูกๆ กับบริษัทคืนมา!"
ฉันขอให้เคธี่หาทางเอาโทรศัพท์สำหรับติดต่อสื่อสารมาให้ฉัน เพื่อที่เราจะได้ติดต่อกันได้ตลอด ฉันคุยกับเธอบนโทรศัพท์เครื่องนี้นานไม่ได้ ไม่เช่นนั้นแบรนดอนอาจจะเกิดความสงสัย
หลังจากวางสาย ฉันก็ลบบันทึกการโทรออกและรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก เมื่อมีเคธี่คอยช่วยเหลือ ฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้น
ฉันเอนตัวลงนอนบนเตียง แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าฉันยังไม่ได้เอากุญแจไปเก็บไว้ในกระเป๋าของแบรนดอน
ฉันลุกขึ้นรีบเอากุญแจกลับไปใส่ไว้ที่เดิม ทันทีที่ฉันกำลังจะกลับขึ้นไปชั้นบน ประตูก็เปิดออก
ฉันได้ยินเสียงของเบร็ตต์ "โอ้ ไฟมาแล้ว!"
ฉันรู้ว่าไม่มีทางกลับไปที่ห้องได้ทันแน่ๆ จึงเดินเข้าไปในครัวเพื่อรินน้ำดื่ม
เมื่อฉันเดินออกมา ฉันก็เจอกับแบรนดอนและเชอร์ลีย์พอดี
ทั้งสองคนดูประหลาดใจที่เห็นฉัน
"แคโรไลน์? คุณมาทำอะไรที่นี่"
ฉันชูแก้วน้ำขึ้น "พวกคุณไปไหนกันมาเหรอคะ ฉันหิวน้ำมากเลยต้องลงมาหาน้ำดื่ม"


















































































































































































































































































































































































































































































































































































































