บทที่ 10 ความลับของเรา

"คุณกำลังทำอะไรอยู่"

พิสิษฐ์ถามเสียงเข้ม ณัฏฐ์ได้สติในทันที เบิกตากว้าง เขาพยายามดิ้นรนทันที รีบร้อนติดกระดุมอย่างลนลาน แต่ทำได้เพียงกอดตัวเองแล้วลุกขึ้นยืน

บนพื้น โซฟา และโต๊ะกาแฟมีกระดุมตกกระจายเกลื่อนกลาด บนโต๊ะยังมีไวน์แดงที่ถูกทำหกอยู่

"นี่มันห้องรับแขกของบ้านนะ เป็นที่ที่คนเดินผ่านไปผ่านมา ทำตัวแบบนี้มันน่าดูที่ไหน? แกเห็นหัวพวกเราบ้างไหม? ห๊ะ?"

"ไปมั่วผู้หญิงข้างนอกก็ว่าไปอย่าง"

พิสิษฐ์โกรธจนหน้าแดง ตวาดเสียงดัง "แต่นี่มันในบ้าน แกยังทำตัวไม่รู้จักกาละเทศะแบบนี้อีก แกจะทำอะไรอีก? คิดจะก่อเรื่องใหญ่หรือไง!"

เสียงตวาดนั้นดังลั่นแทบจะทะลุหลังคา

ณัฏฐ์กอดเสื้อผ้าก้มหน้าต่ำ ท่าทางหงอๆ ไม่กล้าพูดอะไร ยิ่งทำให้พิสิษฐ์โกรธมากขึ้น มือที่กำไม้เท้าอยู่ก็ยิ่งบีบแน่นขึ้น

ไอ้คนไม่ได้เรื่องนี่มันเหมือนใครกันนะ?

ดูท่าว่าการตัดสินใจมอบบริษัทกิตติเจริญให้พลในตอนนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว หากมอบให้คนเหลวไหลไร้สาระแบบนี้ กิจการร้อยปีของบริษัทกิตติเจริญของพวกเราคงพังพินาศแน่!

พิสิษฐ์ยิ่งโกรธมากขึ้น มองณัฏฐ์ด้วยความรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้ดั่งใจ ส่ายหัวถอนหายใจแล้วเดินจากไป

ความผิดหวังนั้นชัดเจนโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด

ณัฏฐ์จ้องลลิตาเขม็ง ใบหน้าของเขายิ่งดูมืดครึ้มลง

นังแพศยานี่! รับมือยากชะมัด นึกว่าวันนี้จะส่งหล่อนออกไปได้แล้ว ที่ไหนได้กลับโดนคนนี้เล่นงานลับหลัง!

ทำให้เขาต้องขายหน้าต่อหน้าพ่อแม่ของตัวเอง เดิมทีพิสิษฐ์ก็คิดว่าเขาวันๆ เอาแต่ทำตัวไร้ประโยชน์ เป็นพวกไร้ค่าที่รอวันตายอยู่แล้ว

ตอนนี้ในใจของพิสิษฐ์ เขาคงถูกตีตราด้วยชื่อเสียงที่แย่ยิ่งกว่าเดิมไปแล้ว

และทั้งหมดนี้ ก็เป็นเพราะนังแพศยานี่!

สีหน้าของณัฏฐ์ยิ่งดูบิดเบี้ยว เขากำหมัดแน่นเพื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเอง

"ปกติอยู่ข้างนอกจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ แต่การกระทำที่ทุเรศเหมือนสัตว์เดรัจฉานแบบนี้ แกกล้าทำในบ้านได้ยังไง? ฉันจะบอกให้นะ ถ้ามีครั้งหน้าอีก อย่าหาว่าฉันไม่จัดการแก!"

อรุณีมองณัฏฐ์ด้วยสายตาที่ผิดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ พลางเหลือบมองลลิตาที่สวมชุดนอนอยู่ข้างๆ แววตาก็ฉายแววไม่พอใจออกมา

ถ้าไม่ใช่เพราะลลิตา ที่บ้านจะเกิดเรื่องไร้สาระแบบนี้ขึ้นมากมายเหรอ?

ตั้งแต่เด็กคนนี้ก้าวเข้ามาในบ้าน ไม่เคยมีวันดีๆ เลยสักวัน!

ยังจะบอกว่าเป็นคนที่สามารถช่วยให้ครอบครัวพ้นจากโชคร้ายได้อีกเหรอ?

ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นตัวซวย ทำให้บ้านช่องไม่สงบสุข!

"ไม่ใช่คนดีอะไรเลย!" หลังจากด่าณัฏฐ์เสร็จ อรุณีก็หันไปมองลลิตา "เธอก็เหมือนกัน อย่าลืมว่าตัวเองมาที่ตระกูลกิตติเจริญเพื่อทำอะไร!"

"ฉันขอเตือนเธอนะ มาอยู่บ้านเราแล้วอย่าคิดว่าจะมากินฟรีอยู่ฟรีให้เราเลี้ยงดู ภายในหนึ่งสัปดาห์ถ้าวัชรพลยังไม่ฟื้น ฉันจะไล่เธอออกไป!"

ลลิตาได้แต่ลูบจมูกอย่างจนใจ มองร่างของอรุณีที่เดินจากไป

เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเธอเลยสักนิด นี่ก็ยังโกรธเกลี้ยวมาลงที่เธอได้อีกเหรอ?

"ลลิตา" เสียงของณัฏฐ์ดังมาจากข้างๆ "ฉันรับประกันได้เลย ตราบใดที่เธอยังอยู่ในบ้านนี้ ฉันจะไม่ปล่อยให้เธออยู่อย่างสงบสุขแน่!"

"อา ตอนนี้เป็นสังคมที่มีกฎหมายนะ"

ลลิตายิ้มอย่างไม่ใส่ใจ "คุณอยากจะทำร้ายคนเหรอ? ดูท่าทางแล้ว คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันหรอกนะ"

เมื่อเผชิญหน้ากับการยั่วยุและเยาะเย้ยของลลิตา ณัฏฐ์กัดฟันกรอด แต่ตอนนี้ก็ทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ เขาจ้องเธออย่างเคียดแค้น จากนั้นก็สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วออกจากบ้านไป

เขาต้องไประบายอารมณ์! นังแพศยาเอ๊ย!

เผลอแป๊บเดียวก็ถึงเวลากลางคืน

ลลิตาปิดคอมพิวเตอร์ ขยี้ตาอย่างเหนื่อยล้า เธอล้มตัวลงบนโซฟาคิดจะพักสักครู่ ก็ได้ยินเสียงดังมาจากประตู

เสียงเคาะประตูเป็นจังหวะ

ลลิตาเปิดประตู ด้านนอกมีเด็กชายตัวเล็กๆ ยืนอยู่อย่างเรียบร้อย ในอ้อมแขนของเขาประคองหมอนใบใหญ่ไว้พลางแหงนหน้ามองลลิตา

"คืนนี้ผมนอนกับพี่ได้ไหมครับ?" เพราะกลัวว่าลลิตาจะไม่ยอม เขาจึงพูดเสริมขึ้นมาว่า "นอนกับพี่แล้วรู้สึกอุ่นใจมากเลยครับ ผมนอนคนเดียวแล้วกลัว"

ลลิตาใจละลายไปกับความน่ารักนั้น ยอมแพ้แต่โดยดี

เธอย่อตัวลงลูบแก้มยุ้ยนุ่มนิ่มของเด็กน้อย "ได้สิ เรามานอนด้วยกันนะ"

จากนั้นก็อุ้มเด็กน้อยไปวางบนเตียง เด็กน้อยหลับเร็วมาก ไม่นานลมหายใจก็สม่ำเสมอ

"อย่า!"

เสียงกรีดร้องแหลมบาดหูดังขึ้น ลลิตาลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย ก็สบเข้ากับดวงตาที่ตื่นตระหนกของเด็กน้อย เขามองลลิตาอย่างหวาดกลัว น้ำตาก็ไหลรินลงมาทันที

"ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ?"

ลลิตาเช็ดน้ำตาที่หางตาของเขาออก อุ้มเด็กน้อยเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน ตบหลังเบาๆ แล้วปลอบด้วยเสียงทุ้ม "ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว ฝันร้ายเป็นของปลอมทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องกลัวนะ"

อาทิตย์ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของลลิตา ฟังเสียงกระซิบที่อ่อนโยนอยู่เหนือศีรษะ ความกลัวในใจก็ค่อยๆ ลดน้อยลง

"ทำไมผมถึงฝันร้ายบ่อยๆ ล่ะครับ? ผมเคยถามคุณปู่คุณย่าแล้ว พวกท่านไม่ฝันร้ายเลย คุณปู่รองคุณย่ารองก็ไม่ฝันร้ายเหมือนกัน มีแต่ผมที่ฝันร้ายบ่อยๆ"

คำพูดของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความน้อยใจ ร่างเล็กๆ ยังฉวยโอกาสซุกเข้าไปในอ้อมกอดของลลิตา ท่าทางน่าสงสารอย่างยิ่ง

ลลิตายิ่งรู้สึกสงสารจับใจ เธอถามว่า "อาทิตย์อยากเลิกฝันร้ายไหม?"

ฝันร้ายเป็นอาการแทรกซ้อนของโรคทางจิตเวช หากปล่อยไว้นานต่อไป เด็กจะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น

ถึงขั้นอาจมีอาการปวดตามร่างกายบ่อยครั้ง ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ และในกรณีที่รุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าและฆ่าตัวตายได้

เธอไม่ต้องการให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับอาทิตย์

พอได้ยินคำถามนี้ อาทิตย์ก็รีบเงยหน้าขึ้นทันที เขาพยักหน้า "อยากครับ ฝันร้ายน่ากลัวมาก ผมไม่อยากฝัน"

ลลิตามีแผนในใจแล้ว เธอตบหลังอาทิตย์เบาๆ แล้วกระซิบบอกเขาว่า "จริงๆ แล้วที่หนูฝันร้ายบ่อยๆ ก็เพราะว่าหนูป่วยอยู่"

"แล้วจะทำยังไงดีล่ะครับ?"

ดวงตากลมโตขาวดำตัดกันของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความกังวล ลลิตายิ้ม "ไม่ต้องห่วงนะ พี่รักษาให้อาทิตย์ได้ แต่ว่าอาทิตย์ต้องให้ความร่วมมือนะ"

เด็กน้อยเชื่อคำพูดของลลิตาอย่างสนิทใจ พยักหน้าแรงๆ รับคำ "พี่ต้องรักษาผมให้หายนะครับ ผมจะให้ความร่วมมืออย่างดีเลย"

คำพูดกระซิบนั้นทำให้ลลิตาหลุดขำ "ได้สิ แต่นี่เป็นความลับเล็กๆ ของเราสองคนนะ หนูห้ามบอกใครเด็ดขาดเลยนะ"

ในตระกูลกิตติเจริญ เธอไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไร ต่อให้พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อเธอ แต่อาการของเด็กคนนี้ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดูท่าจะปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้แล้ว

เธอจึงทำได้เพียงใช้วิธีนี้

"ได้ครับ งั้นมาเกี่ยวก้อยสัญญากัน"

เด็กน้อยยื่นนิ้วก้อยสั้นๆ ป้อมๆ ออกมา ชูไว้ตรงหน้าลลิตา ลลิตายิ้มแล้วเกี่ยวนิ้วก้อยของตัวเองเข้ากับนิ้วของเด็กน้อย

เสียงนุ่มนิ่มของเด็กน้อยดังขึ้น "เกี่ยวก้อยสัญญาร้อยปีห้ามเปลี่ยนแปลง ใครเปลี่ยนคนนั้น..."

"คนนั้นจะไม่ได้กินกุ้งตัวใหญ่อีกเลย"

ลลิตาหลุดยิ้มออกมาทันที ตบหลังอาทิตย์ต่อไป "ดีมาก นอนได้แล้วนะเด็กดี"

ยามเช้า

ลลิตาทำเหมือนเช่นเคย หลังจากฝังเข็มและนวดรักษาวัชรพลเสร็จ เธอก็เก็บของแล้วลงไปเล่นกับเด็กน้อยข้างล่าง

นี่คือสิ่งที่เธอสัญญากับอาทิตย์ไว้เมื่อเช้านี้

สนามหญ้าของบ้านกว้างใหญ่มาก ตรงกลางมีกองทรายขนาดใหญ่ ทรายในกองนั้นเป็นทรายเนื้อละเอียดที่ขนส่งทางอากาศมาจากชายหาด

อาทิตย์ลูบทรายแล้วมองไปที่ลลิตา "พี่ช่วยผมสร้างปราสาทได้ไหมครับ?"

"ได้แน่นอน"

เรื่องแบบนี้ง่ายเหมือนปอกกล้วย แต่แล้วก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งอย่างร้อนรนดังมาจากไกลๆ ลลิตาเหลือบมองไป ก็เห็นคนรับใช้คนหนึ่งวิ่งตรงมาหาเธออย่างรวดเร็ว สีหน้าตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด

"นายหญิงคะ คุณพิสิษฐ์กับคุณอรุณีให้คุณรีบขึ้นไปข้างบนเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!"

บทก่อนหน้า
บทถัดไป