บทที่ 4 ฉันนอนกับคุณ
ลลิตาชักมือกลับราวกับโดนไฟช็อต รู้สึกเพียงว่าในหัวของเธอดังหึ่งขึ้นมา
วัชรพลฟื้นขึ้นมาแล้วอย่างนั้นหรือ?
เธอมองจ้องไปยังดวงตาที่ลืมขึ้นของวัชรพล ก่อนจะกระแอมออกมาอย่างทำตัวไม่ถูก
เธอกำนิ้วมือของตัวเอง ในหัวหมุนติ้วอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็ทำอะไรไม่ถูกลนลานไปหมด
เธอรีบวิ่งลงไปชั้นล่างพรวดพราดเข้าไปในห้องนั่งเล่น ท่าทางร้อนรนเป็นพิเศษ ราวกับว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น!
พิสิษฐ์รีบถาม “ลลิตา เป็นอะไรไป?”
“คุณปู่คะ!”
ลลิตาพูดอย่างตื่นเต้นมาก “วัชรพล เขาเพิ่งลืมตาค่ะ! พวกคุณรีบขึ้นมาดูกันเร็ว!”
เมื่อพิสิษฐ์ได้ยินข่าวนี้ คิ้วที่ขมวดอยู่ก็คลายลง เขานั่งกลับลงไปที่เดิม
“ลลิตาเอ๊ย” เขาอธิบายอย่างไม่ใส่ใจ “พลน่ะ นี่เป็นปฏิกิริยาปกติของคนที่เป็นเจ้าชายนิทรา มักจะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวอยู่บ่อยๆ!”
“เดี๋ยวเธอก็ค่อยๆ ชินไปเอง”
พิสิษฐ์ถอนหายใจแล้ววางรีโมตคอนโทรลลงบนโต๊ะ ตอนที่เขาเห็นหลานชายลืมตาครั้งแรก เขาก็ตื่นเต้นแบบนี้เหมือนกัน
“ก็ได้ค่ะ”
ณัฏฐ์ที่นอนอยู่บนโซฟาข้างๆ มองลลิตาอย่างเย้ยหยัน
“ไม่ใช่ว่าฝีมือการรักษาของเธอดีมากหรือไง? ทำไมแม้แต่เรื่องนี้ยังไม่รู้? ฉันได้ยินพวกหมอเขาพูดกันว่า นี่มันความรู้พื้นฐานของคนเรียนหมอเลยนะ!”
เขาลุกขึ้นนั่งตัวตรง หันไปมองพิสิษฐ์ “พ่อครับ ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่พวกสิบแปดมงกุฎใช่ไหมครับ?”
“ตอนกลางวันทำท่าเหมือนจะรักษาเป็น ท่าทางคล่องแคล่วมาก แต่ตอนนี้แม้แต่คนไข้ฟื้นหรือไม่ฟื้นยังดูไม่ออก!”
พิสิษฐ์ขมวดคิ้ว “พอได้แล้ว อย่าพูดอีก!”
มีเรื่องนิดหน่อยก็โวยวายเสียงดัง มันน่าดูที่ไหนกัน?
เมื่อเห็นว่าพิสิษฐ์ขมวดคิ้วแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความรำคาญ ในดวงตาของณัฏฐ์ก็ฉายแววแห่งความลำพองใจ
เขามองลลิตาอย่างท้าทาย “ลลิตา ฉันว่าฝีมือการรักษาของเธอ อย่าไปรักษาใครต่อเลยจะดีกว่า! เรื่องเมื่อตอนกลางวันก็แค่ฟลุกเท่านั้นแหละ!”
“พลบ้านเราไม่ใช่หนูทดลองให้เธอมาทำอะไรส่งเดชนะ! ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เธอรับผิดชอบไหวเหรอ?”
“คุณอา พูดแบบนี้ไม่ถูกนะคะ!”
ลลิตากล่าวอย่างใจเย็น “ฉันเพิ่งแต่งเข้ามา ก็ย่อมหวังให้คุณวัชรพลมีสุขภาพแข็งแรง ฉันจะได้มีสามีที่แข็งแรงเหมือนกัน”
“จู่ๆ เห็นเขาลืมตาขึ้นมา ฉันก็ตกใจจนคิดอะไรไม่ออก เลยรีบวิ่งลงมาหาพวกคุณ”
“คุณอาก็รู้ว่ายิ่งเป็นห่วงก็ยิ่งลนใช่ไหมล่ะคะ!”
ลลิตากวาดสายตามองทุกคนที่นั่งอยู่บนโซฟา ก่อนจะจับจ้องไปที่ณัฏฐ์
“คุณอาคะ ตอนที่คุณอาเห็นคุณพลลืมตาครั้งแรก ก็คงจะตื่นเต้นเหมือนฉันใช่ไหมคะ? ตอนนั้นจะมีสติอารมณ์ที่ไหนมาคอยตรวจสอบอย่างละเอียดกันล่ะคะ?”
มือของพิสิษฐ์ที่กำไม้เท้าแน่นคลายออก สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ณัฏฐ์
ณัฏฐ์พูดตะกุกตะกัก “กะ ก็แหงสิ! ตอนนั้นฉันก็รีบร้อนเหมือนกัน นี่มันก็นานมาแล้ว ลืม...ลืมไปแล้ว...”
“คุณอานี่ความจำไม่ดีเลยนะคะ!”
ลลิตาโค้งมุมปากยิ้ม “ฉันก็นึกว่าคุณอากำลังหาเรื่องฉันซะอีก!”
ณัฏฐ์ผุดลุกขึ้นยืนพรวด ชี้หน้าลลิตาและกำลังจะอ้าปากด่า
‘อยากให้ทุกคนรู้เรื่องเมื่อคืนหรือไง?’
เมื่อสบเข้ากับดวงตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยการคุกคาม เขาก็ค่อยๆ นั่งลง
ใบหน้าของณัฏฐ์บิดเบี้ยว “ที่ไหนกันเล่า ฉันก็แค่กลัวว่าทุกคนจะดีใจเก้อเท่านั้นแหละ!”
“เธออย่าไปใส่ใจเลย!”
ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ สักวันต้องเตะเธอออกไปให้ได้! จะได้ไม่มาสร้างปัญหาอยู่ที่นี่!
บรรยากาศเงียบสงัด พิสิษฐ์ปิดโทรทัศน์แล้วหยิบไม้เท้าขึ้นมายืน
“พอแล้ว ไม่ต้องมานั่งอยู่ตรงนี้กันแล้ว ดึกแล้ว กลับไปนอนกันได้แล้ว!”
ทุกคนลุกขึ้นยืนตาม และทยอยเดินกลับเข้าห้องของตัวเองไป
ณัฏฐ์จ้องลลิตาด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเดินจากไปอย่างหัวเสีย
ลลิตาจัดปกเสื้อของตัวเองอย่างสบายๆ แล้วเดินก้าวใหญ่ขึ้นไปบนชั้นสอง แต่แล้วก็มีสายตาคู่หนึ่งจ้องเธอเขม็ง
เธอหันขวับไปทันที สายตายิงตรงไปยังทิศนั้น
ก็เห็นเด็กคนหนึ่งกำลังเกาะอยู่ที่ราวบันไดชั้นสอง เด็กคนนั้นสวมชุดนอนสีขาว ตัวกลมนุ่มเหมือนก้อนโมจิ
ดวงตากลมโตจ้องมองเธอไม่กะพริบ เหมือนกำลังสงสัยใคร่รู้
“ทำไมยังไม่นอนล่ะจ๊ะ?”
ฝีเท้าของณัฏฐ์ชะงัก เขามองไปยังลลิตาที่กำลังย่อตัวลงตรงบันได
ตามรังควานไม่เลิกจริงๆ!
ลลิตาย่อตัวลงตรงหน้าเด็กน้อย ใบหน้าที่อวบอิ่มแบบเด็กทารกนั้นนุ่มนิ่มจนใจเธอละลาย
อาทิตย์กะพริบตาปริบๆ แล้วส่ายหน้า
“นอนคนเดียวไม่หลับเหรอจ๊ะ?”
เด็กน้อยยังคงเงียบ ดูเหมือนจะไม่ชอบพูด
เธอเปลี่ยนวิธีถาม “ถ้างั้น...อยากไปนอนกับฉันไหม?”
เด็กคนนี้ดูเหมือนจะติดเธอมาก คำชวนแบบนี้น่าจะไม่ถูกปฏิเสธ
“ไม่ได้!”
เสียงหัวเราะเยาะดังมาจากโถงบันได ณัฏฐ์เดินออกมายืนอยู่ตรงหน้าเด็กน้อย เขามองเด็กที่หมอบอยู่บนพื้นอย่างเย็นชา ก่อนจะหันมามองลลิตาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูก
“ยังจะมาชวนเด็กไปนอนด้วยอีก? ไม่ส่องกระจกดูตัวเองซะบ้าง!”
เขามองสำรวจลลิตาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดเยาะเย้ย “ดูซิว่าตัวเองคู่ควรหรือเปล่า! รีบๆ ไปได้แล้ว ไปเร็วๆ!”
“แล้วแกด้วย ไม่นอนมาหมอบจ้องเขาอยู่ได้? เขาเพิ่งเข้ามาอยู่ในบ้านนี้ แกไม่กลัวเขาฆ่าแกตายหรือไง!”
อาทิตย์ลุกพรวดขึ้นมายืน เข้าไปอยู่ข้างๆ ลลิตาแล้วจ้องมองเขาอย่างระแวดระวัง
“เฮ้ย ไอ้เด็กบ้า!”
เขากระชากหมวกของอาทิตย์อย่างหยาบคาย ดึงเข้ามาหาตัวเอง “รีบไปนอนได้แล้ว!”
อาทิตย์หลบมือของเขาพัลวัน สายตาจ้องมองลลิตาอย่างร้อนแรงแล้วพยักหน้าหนักๆ
“ผมจะนอนกับคุณ!”
เสียงเล็กๆ ใสๆ นุ่มนวลดังขึ้น เขาค่อยๆ เดินเข้ามาแล้วยื่นมือเล็กๆ ออกมาจับมือของลลิตาอย่างลองเชิง
อรุณีที่ยืนอยู่ตรงหัวมุมบันไดชั้นสามมีแววตาประหลาดใจฉายออกมา เธอมองมือที่เด็กน้อยจับอยู่นิ่งจนอ้าปากค้าง
ช่างเถอะ ก็ให้เด็กผู้หญิงคนนั้นอยู่ต่อไปแล้วกัน!
อาทิตย์เด็กคนนี้ไม่มีแม่มาตั้งแต่เล็ก ไม่ค่อยสนิทสนมกับใคร กว่าจะเจอคนที่เขาชอบสักคน
ตระกูลกิตติเจริญของพวกเขาก็ใหญ่โต ไม่ใช่ว่าจะเลี้ยงดูไม่ไหว!
“ได้ยินไหมคะ? คุณอา!”
ลลิตาโค้งมุมปากยิ้ม “ยังไม่หลีกทางให้พวกเราไปอีกเหรอคะ จะทำให้คุณอาทิตย์นอนดึกนะคะ?”
ณัฏฐ์โกรธจนเขี้ยวฟันสั่นสะท้าน เขากวาดตามองทั้งสองคนอย่างเคียดแค้น
แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินเข้าห้องไป
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
เตียงใหญ่มาก นอนสามคนก็ยังเหลือเฟือ เธออุ้มเด็กน้อยที่อาบน้ำเสร็จแล้ว วางเขาไว้กลางเตียงแล้วเอาผ้าห่มคลุมให้
“รอแป๊บนะจ๊ะ เดี๋ยวไปอาบน้ำแล้วจะมานอนด้วย”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เด็กน้อยบนเตียงยังคงไม่หลับ เขานั่งอยู่บนเตียง ดวงตากลมโตจ้องมองเธอไม่กะพริบ สักพักก็ตบลงบนเตียงข้างๆ
เหมือนจะเป็นการบอกให้เธอไปนอนข้างๆ ลลิตายิ้มอย่างมีความสุข
เธอจัดชายผ้าห่มให้ทั้งสองคน “รีบนอนเถอะ ดึกแล้วนะ”
เด็กน้อยยังคงลืมตาแป๋ว จ้องมองเธอเขม็ง
ลลิตาครุ่นคิด “งั้น...ให้ฉันเล่านิทานก่อนนอนให้ฟังดีไหม?”
เสียงที่อ่อนโยนดังก้องไปทั่วทั้งห้อง อาทิตย์ค่อยๆ ปิดตาลง ร่างเล็กๆ ซุกอยู่ในอ้อมกอดของลลิตา
มุมปากเล็กๆ ของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ร่างกายทั้งร่างผ่อนคลายลง อ้อมกอดของคนคนนี้ช่างอบอุ่น นอนแล้วอุ่นสบายจริงๆ
เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยหลับแล้ว ลลิตาก็เอื้อมมือไปปิดโคมไฟหัวเตียง
“กรี๊ด!”
ในยามค่ำคืนที่เงียบสงัด เสียงกรีดร้องแหลมบาดหูก็ดังขึ้นจากข้างๆ ทำเอาหัวของลลิตาดังหึ่ง
สัญชาตญาณบอกว่าไม่ดีแล้ว เธอจึงลืมตาพรึ่บขึ้นมาทันที
