บทที่ 9 สาวน้อยเริ่มพาแม่ก่อปฏิวัติ
ยิ่งฟังบุตรสาวพูด ผู้เป็นพ่อยิ่งรู้สึกหนักอึ้งในใจ
มีความไม่พอใจคุกรุ่นอยู่ในนั้น
“ท่านพ่อเจ้าคะ หากวันนี้ข้าไม่เชื่อฟัง ข้าไม่ไปซักผ้า ไม่ทำอย่างที่ข้าเคยทำ ท่านจะผิดหวังในตัวข้าหรือไม่”
นางกล่าวถามเสียงใส ปั้นหน้าดุจเทพธิดาตัวน้อย
นั่นทำให้ฉินก่วงนึกย้อนไปถึงวัยเด็กของตัวเองขึ้นมา เขาเคยเชื่อว่าหากทำตามที่มารดาบอก นางก็จะรักเขาบ้าง ตั้งแต่เกิดมามีเพียงบิดาให้ความอบอุ่น
ท่านปู่ของฉินหลิวซีไม่ค่อยอยากมายุ่งงานในบ้านเพราะไม่อยากมีปากเสียงกับภรรยา เขาที่เป็นบุตรชายคนรองก็ตามบิดาไปทำงานที่ไร่นาตั้งแต่เด็ก ตั้งใจทำทุกอย่างที่แม่บอก เพราะกลัวว่านางจะไม่ต้องการเขาอีก
ชิวย่าหนานเป็นคนซื่อหัวอ่อนที่เขารักและเลือกมาเป็นภรรยา แต่วันนี้กลับละเลยนาง เป็นสามีภรรยาแต่นางกลับไม่ยอมเล่าความทุกข์ใจให้เขาฟัง ต้องมาได้รู้จากปากบุตรสาวว่าวันนี้โดนรังแกอย่างไร
ข้าบกพร่องในหน้าที่ของสามีและพ่อแล้วใช่หรือไม่
ฉินก่วงคิดทบทวนอยู่ทั้งคืน จนภรรยาเสร็จจากงานเข้ามาในห้อง ครอบครัวทั้งสามคนหลับไปแล้ว มีแต่เขาที่ยังตื่นอยู่
“ท่านแม่ วันนี้ไม่ต้องซักผ้านะเจ้าคะ”
เช้าวันต่อมาฉินหลิวซีก็เริ่มปฏิบัติการตามแผนที่จะไปให้พ้นจากครอบครัวใหญ่นี่สักที นางไม่อยากทนอยู่ที่นี่อีกแล้ว ทำงานหนักแต่ข้าวไม่มีให้กิน แต่นางก็เป็นเพียงเด็กหญิงอายุห้าขวบที่ตัวเล็กกว่าอายุจริง ร่างกายผอมบางเพราะขาดสารอาหารมาหลายปี ฉะนั้นทำได้แต่กรอกหูบิดามารดาให้ลุกมาต่อต้านเท่านั้น
“ไม่ซักได้หรือ มันหน้าที่ของแม่” นางถามบุตรสาวกลับอย่างไม่เข้าใจ
“ท่านแม่เป็นสะใภ้บ้านนี้ น้าสะใภ้และป้าสะใภ้ก็เป็นสะใภ้บ้านนี้ ทำไมมีแต่ท่านแม่ที่ต้องทำงานเล่าเจ้าคะ”
ชิวย่าหนานเถียงบุตรสาวไม่ออก นางไม่เคยคิดไปถึงขั้นนั้นเลยด้วยซ้ำ คิดแต่ว่าอยากให้แม่สามีพอใจ อยากให้สามีชื่นชมนางที่เอาใจใส่ดูแลครอบครัวดี อะไรถึงทำให้บุตรสาวของนางตั้งคำถามนี้ขึ้นมาในใจได้
“ท่านแม่ หากท่านอยากทำจริง ๆ ก็ทำให้แค่ครอบครัวของเรากับท่านปู่ท่านย่าดีกว่านะเจ้าคะ”
“ทำเช่นนั้นท่านป้าสะใภ้ของเจ้าก็จะเอ็ดแม่เอาอีก”
“ท่านแม่กลัว หรือกลัวว่าข้าจะกลัว”
เป็นอีกคำถามที่นางก็ตอบบุตรสาวทันทีไม่ได้ เพราะนางก็ไม่เคยหาคำตอบให้ความรู้สึกนั้นของตัวเองเช่นกัน นางระแวงอะไร กังวลอะไร
ฉินหลิวซีไม่อยากทำให้แม้แต่ของปู่กับย่าด้วยซ้ำ
แต่นางไม่มีทางเลือก เรื่องนี้จะรีบร้อนตัดขาดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมารดาคงไม่ยอมคล้อยตาม ทั้งบิดามารดาล้วนเป็นคนกตัญญูรู้คุณ หรืออย่างน้อยนางก็คิดว่าถูกกล่อมเกลามาให้คิดแบบนั้น ซึ่งนางก็ไม่ค้านหรอกหากจะทำ แต่ไม่ใช่กับครอบครัวที่เห็นบ้านของนางเป็นเหมือนคนรับใช้แบบนี้
ฉินก่วงกลัวมารดาจะผิดหวัง อยากให้มารดารักตนเหมือนลูกคนอื่น ยอมทำตามคำสั่งทุกอย่างจนละเลยครอบครัวของตัวเองไป ส่วนแม่ของนางก็อย่างที่เห็น
“เถอะนะเจ้าคะท่านแม่ เชื่อข้าสักครั้ง” ฉินหลิวซีใช้น้ำเสียงออดอ้อนหว่านล้อมจนมารดายอมผ้ากองนั้นลง
ชิวย่าหนานคิดในใจว่า อย่างไรก็ต้องโดนแม่สามีดุด่าในภายหลังแน่ แต่นางก็ไม่อยากขัดใจลูก เพราะมีไม่กี่ครั้งที่ฉินหลิวซีจะมาอ้อนขออะไรบางอย่างจากนาง ถ้าโดนต่อว่าในภายหลังนางก็จะไม่บอกหรอกว่าลูกมีส่วน
“แค่ครั้งนี้นะ”
“แค่ครั้งนี้อะไรกันล่ะเจ้าคะ ครอบครัวของท่านลุงไม่ได้มีบุญคุณต่อเราเสียหน่อย ไม่เห็นต้องทำให้เลย
คำขอบคุณสักคำก็ไม่มี”
“อาหลิว อย่าพูดอย่างนั้น”
“ท่านแม่ เราไปที่ลำธารกันเลยดีกว่า”
ขืนต่อปากต่อคำมากกว่านี้นางอาจเป็นฝ่ายแพ้ เด็กหญิงดันหลังมารดาให้รีบออกจากบ้าน ส่วนผ้าที่กองทิ้งไว้ก็วางไว้อยู่ที่เดิม เรื่องเสื้อผ้าของปู่กับย่าเดี๋ยวนางจะคอยหาทางตะล่อมในภายหลัง ตอนนี้ต้องทิ้งเสื้อผ้าที่เป็นภาระของครอบครัวลุงกับป้าสะใภ้ออกไปก่อน
วันนี้ฉินหลิวซีตั้งใจอย่างมากที่จะดึงความสนใจมารดาออกมาจากกองผ้า ทั้งชวนคุยเรื่องไร้สาระทั่วไป ระหว่างนั้นก็คิดหาวิธีให้บิดาแยกบ้านออกมา แต่เรื่องนี้ค่อนข้างจะยากกว่าการให้มารดาเลิกทำตามคำสั่ง
เพราะบิดาของนางสนิทกับบรรดาพี่น้องของตนมาก
“ท่านแม่ ก่อนหน้านี้ข้าเจอต้นพลับด้วย ตากผ้าแล้วข้าจะไปหามาให้ท่านนะเจ้าคะ”
“ต้นพลับหรือ ไปเจอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“ก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นในป่าบังเอิญเจอเข้าน่ะเจ้าค่ะ” นางบอกไม่ได้หรอกว่า พาน้องชายมาเล่นแถวนี้ ไม่อย่างนั้นคงโดนซักไซ้มากกว่านี้เป็นแน่
หลังจากนำผ้าขึ้นตากจนหมดแล้ว ชิวย่าหนานก็ได้พักหายใจหายคอบ้าง นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาเดียวที่นางได้พักผ่อนนอกจากตอนนอน เมื่อมีเวลาผ่อนคลาย
ฉินหลิวซีก็รีบมาบีบนวดให้มารดา เอาอกเอาใจสารพัดให้รู้สึกสบายเวลาที่ได้พักผ่อนจริง ๆ
ก่อนหน้านี้ชิวย่าหนานไม่เคยถูกทำแบบนี้ให้
ทั้งประหลาดใจและเข้าใจเวลาเดียวกัน นางยอมเออออตามใจลูกไม่เอาผ้าของบ้านใหญ่มานอกจากของพ่อแม่สามี คิดดูแล้วนี่อาจเป็นผลดีกว่าที่คิดก็ได้
เมื่อผึ่งลมผึ่งแดดจนแห้งแล้วก็ได้เวลากลับ
ชิวย่าหนานรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อยที่ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับคนในบ้าน รู้สึกได้เลยว่าจะต้องโดนต่อว่าอย่างหนักแน่
พอคิดถึงตอนนั้นตัวก็สั่นขึ้นมา สีหน้าของนางดูวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ยื่นมาจับมือนางไว้ มองลงไปก็เห็นเป็นบุตรสาวของตนเป็นผู้ยื่นมือมากุมไว้
หลังจากได้รับความอบอุ่นนั้นความหวาดกลัวในใจก็ค่อย ๆ จางลง สองแม่ลูกเดินจูงมือกันกลับบ้าน
ฉินหลิวซีสัมผัสได้ว่า มือของมารดาชื้นเหงื่อเล็กน้อย ในใจผู้เป็นแม่ก็คงหวาดกลัวเช่นกัน ที่ยอมทำตามคำขอของนางเพราะใช้ความกล้าไม่น้อย เดิมทีก็มีนิสัยอ่อนแอ เช่นนี้จะกล้าก้าวออกมานั้นเป็นเรื่องยาก
ถึงแม้ตอนแรกจะรู้สึกหงุดหงิด แต่พออยู่ด้วยกันนานวันเข้านางก็เข้าใจและยอมรับได้ ที่เหลือคือการปรับตัวและค่อย ๆ พาผู้เป็นแม่ออกมาจากจุดนั้น อย่างน้อยก็อยู่ในระดับที่ไม่ใช่ยอมก้มหัวให้ใครเขาไปเสียทุกคน
