บทที่ 6 6

“ตำรวจสืบพยานไปแล้วก็จริง แต่แม่ของคุณให้การปฏิเสธบอกว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้นทั้งที่ภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพได้ตอนแม่ของคุณเข้าไปในห้องนั้นก่อนเกิดเหตุ แล้วพวกคุณยังจะมาปากแข็งว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรซึ่งมันขัดแย้งกับความจริงมากเกินกว่าที่ใครจะเชื่อ ไปหลอกเด็กอมมือน่ะง่ายกว่าจะมาหลอกคนอย่างผม”

“แล้วคุณต้องการอะไร!”

รสิกาแค่นตะเบ็งเสียง เธอเห็นแต่ช่วงขาของเขาใต้กางเกงสแล็ค ไม่กล้าแม้แค่จะเงยหน้ามองดอมมินิคให้เต็มตาอย่างเมื่อครู่ นี่เขาหลอกเธอมาเพื่อเค้นความจริงซึ่งมันเป็นสิ่งที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่เคยได้สัมผัส เธอไม่มีอะไรจะบอกเขานอกจากความหวาดกลัวที่สั่นเหมือนกลองรัวในหัวอก สักครู่ร่างสูงจึงย่อตัวลงและรั้งไหล่บางของหญิงสาวให้เธอหันหน้ากลับไปเผชิญกับเขาอีกครั้ง

“ต้องการความจริง! ในเมื่อตำรวจสืบพยานไม่สำเร็จ เปิดปากแม่คุณไม่ได้ ผมเองนี่แหละที่จะเค้นมันออกมาจากปากของคุณ!”

“ดอมมินิค” รสิกาครางออกมาเสียงแหบแห้งอย่างหวาดหวั่น เธอไม่เคยกลัวอะไรแบบนี้มาก่อน มันเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในชีวิต เหมือนลูกนกที่หลุดเข้าไปอยู่ในกรงเล็บราชสีห์ ไม่มีทางดิ้นหนีและดูเหมือนสิ้นหวังที่จะหลุดรอด ชายหนุ่มเอียงหน้าเล็กน้อยและเหยียดปากอย่างเย้ยหยัน

“พวกคุณคงคิดว่าตลอดระยะเวลาปีกว่าที่ผมไม่ได้กลับบ้าน ผมจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับครอบครัวของตัวเอง พวกคุณอาจจะคิดว่าลูกชายคนเดียวของเอ็ดมันน์ ไทเลอร์มัวแต่ทำงานเป็นบ้าเป็นหลังจนแทบไม่มีเวลาได้สนใจคนที่บ้าน แต่เปล่าเลย ตลอดระยะเวลาที่ผมฝังตัวอยู่ในเหมืองที่เวสต์เวอร์จิเนียผมยังคงติดต่อกับคนในครอบครัวเสมอ ผมรู้ว่าพ่อของผมไม่เคยมีศัตรูที่ไหนถึงขนาดคิดแค้นจะเอาชีวิตเขา ยิ่งถ้าเป็นเรื่องธุรกิจด้วยแล้วเขาเป็นคนที่มีไหวพริบและจัดการทุกอย่างได้ดี แต่เขาเสียรู้ให้กับใครคุณรู้มั้ย”

ชายหนุ่มหยุดคำถามไว้ชั่วครู่ขณะจ้องลึกลงไปในดวงตาสุกสกาวรื้นน้ำของหญิงสาว เหยียดยิ้มอันน่ากลัวอีกครั้งและกล่าวออกมา

“ก็พวกโสเภณีที่สวมรอยเข้ามาในคราบแม่บ้านนั่นไง!”

“ดอมมินิค!” รสิกาแทบจะกรีดร้องใส่หน้าของเขาในวินาทีนั้น หัวใจของเธอเหมือนถูกคมมีดเชือดเฉือนทิ่มแทง ความเจ็บปวดแทนบุพการีที่กำลังถูกเขาหยามหยันผลักดันให้เธอสะบัดไหล่ที่ถูกเกาะกุมไว้และฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าคร้ามเข้มอย่างแรง

ฉาด!! เสียงนั้นคงยังไม่ดังพอ หญิงสาวเงื้อมืออีกครั้งแต่คราวนี้เขาคว้ามันไว้ได้

“รึที่ผมพูดมันไม่จริง!” ดอมมินิคตวาดกลับและบีบข้อมือของเธอไว้แน่น เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดกับการตอบโต้จากฝ่ามือเล็กแต่โมโหสุดขีดเพราะไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าท้าทายเขาแบบนี้ ชายหนุ่มคุกเข่าลงตรงหน้าและกระชากร่างบอบบางเข้าไปประชิดตัว รสิกาออกแรงผลักแต่ไม่สำเร็จ ขาทั้งสองที่ชันขึ้นหวังจะเตะถีบถูกเข่าของคนตัวใหญ่กดเอาไว้กลางลำตัวของเขา

“อย่าปฏิเสธว่าตอนที่ผมไม่อยู่ทั้งคุณและแม่คุณยั่วยวนพ่อของผมยังไงบ้าง และเขาคงจะหลงพวกคุณมากถึงขนาดยกกระท่อมที่สวนดอกไม้ให้อยู่ หรือว่าเอาไว้เป็นสถานที่เริงรักของทั้งสามคน”

“ดอมมินิค...หยุดพูดบ้า ๆ นะ!” รสิกากรีดร้องอย่างเหลืออด “คุณกำลังให้ร้ายแม่ของฉัน ดูถูกฉัน ไม่ให้เกียรติพ่อของคุณที่ไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว คุณไม่เคยกลับไปดูแลท่านแล้วคุณจะรู้ได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้นที่บ้านตัวเองบ้าง!”

“ทำไมผมจะไม่รู้!” เขาเถียงทันควัน “ในเมื่อที่นั่นมีแม่ของผม เธอบอกทุกอย่างที่เธอรู้กับผม บอกความเจ็บปวดที่ต้องถูกผู้หญิงชั้นต่ำสองคนกับสามีช่วยกันเหยียบย่ำความรู้สึกในบ้านของตัวเอง เขาเมตตาพวกคุณมากเกินกว่าเจ้านายกับแม่บ้านและพวกคุณก็สนิทสนมกับเขามากเกินกว่าจะเรียกว่าเป็นความภักดี มันทำให้พวกเราสงสัยว่าคุณกับแม่ของคุณอาจร่วมมือกันวางแผนฆ่าพ่อของผมเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง!”

“ไม่จริงเลย...ดอมมินิค...ฟังฉันก่อนเถอะค่ะ...คุณกำลังเข้าใจทุกอย่างผิดไปแล้ว”

“ผมให้เวลาคุณถึงคืนนี้!” เขาคาดโทษด้วยเสียงลอดไรฟัน รสิกานิ่งงันและคอยฟังสิ่งที่เขาพูด

“บอกความจริงมาว่าแม่คุณรู้อะไรเกี่ยวกับการฆาตกรรมในคืนนั้น ถ้าคุณบอกมาดี ๆ ผมจะให้เครื่องบินเล็กกลับมารับคุณกลับไปคืนนี้ แต่ถ้าไม่...ผมจะฆ่าคุณแล้วโยนศพลงไปในเหวให้พวกสัตว์ป่ามันมารุมทึ้ง!”

“คุณบ้าไปแล้ว ดอมมินิค! ฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแล้วคุณจะมาบังคับให้ฉันรู้ได้ยังไง”

“มันไม่ใช่ปัญหาของผม!”

เขาสะบัดร่างนั้นก่อนลุกขึ้นยืนและไม่ยี่หระต่อความเจ็บปวดของหญิงสาวที่ครางออกมาเสียงดังโอยเบา ๆ

“ปัญหามันอยู่ที่ว่าคุณจะพูดหรือไม่พูด...ผมจะกลับมาอีกครั้งตอนหัวค่ำ ถ้าพูดความจริงออกมาคุณจะได้กลับบ้าน แต่ถ้าไม่พูดก็เตรียมตัวเป็นศพอยู่เฝ้าหุบเขาเมาท์ วอชิงตัน ได้เลย!”

เสียงอำมหิตนั้นดังขึ้นก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะเดินลงส้นออกไปจากกระท่อมของเขา รสิกาปากสั่นระริก ร่างน้อยขยับตัวและค่อย ๆ กระเถิบไปด้านหลังจนหลังของเธอชนกับเก้าอี้ไม้ริมหน้าต่าง

บทก่อนหน้า
บทถัดไป