บทที่ 10 ตอนที่ 9
ศาลาท่าน้ำหลังจวนฮวาเจินนั่งมองปลาหลายชนิดว่ายวนอยู่ในน้ำ ก่อนนั่งกอดเข่าหยิบอาหารเม็ดโปรยให้อาหารปลา ชิงหรงกอดอกพิงเสามองผู้เป็นนายอย่างถอดใจเหลียวมองหญิงงามเจ้าของผีผาเดินเฉิดฉายเข้ามาหาฮวาเจิน
“หากเหงาจะทนอยู่ทำไม” ลี่เหมยหลิงหญิงงามเจ้าของเสียงผีผาทักขึ้นปรายตามองฮวาเจินที่ลุกขึ้นหันมองนางช้าๆ
“ท่านเป็นใคร”
“ข้าเป็นฮูหยินรองของท่านแม่ทัพ นามของข้าคือลี่เหมยหลิง พอคุ้นหูบ้างหรือไม่” รอยยิ้มแสยะยิ้มส่งให้ฮวาเจิน
“ไม่ เราเพิ่งเคยมาลั่วหยาง” ฮวาเจินส่ายหน้าไปมามองลี่เหมยหลิงที่ก้าวขาเดินเข้าวนรอบตัว
“เป็นหญิงหากไม่มีชายใดสนใจ เป็นข้าคงเปล่าเปลี่ยวรีบจากไปเสียวันแรก อยู่ต่อมีแต่อึดอัดใจ” ลี่เหมยหลิงก้มลงกระซิบข้างหูฮวาเจินที่ยืนนิ่งก้มหน้าลงช้าๆ สร้างความพึงพอใจให้แก่ลี่เหมยหลิง
“ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็ขื่นขมได้เหมือนกัน” ฮวาเจินฉีกชายแขนเสื้อสีขาวขาดออกเป็นเศษผ้าเอามาผูกปิดตาก้าวเท้าเดินออก ชิงหรงเข้ามาช่วยประคองเหลียวมองลี่เหมยหลิงที่ขมวดคิ้วกัดริมฝีปาก
“พ้นแล้วเจ้าค่ะ ปลดผ้าได้”
“เราควรอยู่ให้ชิน” ฮวาเจินก้มหน้าเดินคลำทางกลับที่ห้อง ชิงหรงมองตามอย่างห่วงใยรีบเข้าไปช่วยพาฮวาเจินกลับห้อง
ฝางแฟหยินมองฮวาเจินปิดตาด้วยผ้าขาวถึงกับถอนหายใจยาวนั่งปักผ้าอยู่หน้าห้องซึ่งทำให้เห็นชัดเจนก่อนเหลือบมองจีเหนียงเดินเข้ามานั่งลงตรงข้ามมองไปทางห้องที่ผูกผ้าแดง
“น่าเป็นห่วงเสียจริง”
“พี่น้องตระกูลนี้ยังไงกันนะ อีกคนก็ใจรวนเร ส่วนอีกคนก็แข็งยิ่งกว่าก้อนหิน” ฝางแฟหยินวางสะดึงลงผ่อนลมหายใจเป็นวรรคเป็นเวรเหนื่อยหน่าย
“สักวันซื่อหมิงจะต้องรู้ใจตัวเอง การผูกมัดอยู่กับอดีตไม่ใช่สิ่งหลุดพ้นที่แท้จริง ข้าหวังว่านางจะผ่านกำแพงนี้ไปได้”
“ช่างน่าสงสารยิ่งนัก เฮ้อ” ฝางแฟหยินลุกขึ้นเดินมุ่งหน้าไปที่ห้องลี่ซื่อหมิงทันที พร้อมชุดใหม่ที่เพิ่งมาส่งให้สาวใช้ถือตามเข้าห้องไป
ฝางแฟหยินเดินเข้ามาด้านในมองฮวาเจินปลดผ้าปิดตาออก ชิงหรงก้มหัวให้ก่อนเดินนำสาวใช้ออกไปพร้อมปิดประตูปล่อยให้ฝางแฟหยินจับมือฮวาเจินไปนั่งหน้ากระจกจัดการหวีผมให้ด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจะทำให้ท่านเป็นชาวลั่วหยาง ความงามของท่านไม่ได้น้อยหน้าผู้ใด ให้รู้ไปว่าซื่อหมิงจะทนด้านชาได้อีกหรือไม่”
“ฮูหยินเปย…” ฮวาเจินอ้ำอึ้งมองฝางแฟหยินผ่านกระจก
“เรียกข้าว่าพี่สาวก็พอ ข้าอยู่นี่ก็ไม่ได้ต่างจากเจ้า ความเจ็บปวดที่ท่วมท้นลุกลามในขั้วหัวใจยากที่แก้ไขเพราะมันอยู่ในเบื้องลึกไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป” ฝางแฟหยินจับฮวาเจินยืนขึ้นถอดชุดนางแล้วเปลี่ยนมาสวมชุดฮั่นฝูให้ “ข้าเองก็ไม่ได้ต้องการแต่งงานกับแม่ทัพลั่วหยางสักเท่าไหร่หากเป็นบัญชาของเสด็จแม่ที่ยากจะเลี่ยง เหมือนเจ้าใช่หรือไม่”
“ข้าน้อยรู้เพียงว่าที่นี่ปลอดภัยกว่ายามะ อย่างน้อยการแต่งกับท่านคาชิระยังดีกว่าเป็นหญิงของท่านโชกุน”
“ก็จริง ไม่ต้องตกเป็นรองผู้ใด แต่การเป็นที่หนึ่งก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน” ฝางแฟหยินหยุดสวมผ้าผูกเอวให้ฮวาเจินด้วยการฝืนยิ้ม ฮวาเจินมองนางน้ำตาคลอก่อนจับมือไว้
“ขอแค่มีคนเอ็นดูข้าน้อยหนึ่งคนเหมือนท่าน ต่อให้ท่านคาชิระเกลียดข้าน้อย ข้าน้อยก็ทนอยู่ได้เจ้าค่ะ”
“ฮวาเจิน…” ฝางแฟหยินโอบกอดฮวาเจินพร้อมลูบหัวผมเบาๆ ปลอบขวัญ ฮวาเจินกอดตอบกลับทั้งน้ำตา
“หากข้าน้อยเลือกเกิดได้คงเลือกเป็นบุรุษเสียมากกว่า แข็งแกร่งดั่งกำแพงเหล็กไม่อ่อนแอเหมือนนกที่ปีกหัก”
“โถ่…” ฝางแฟหยินลูบหัวฮวาเจินพร้อมปาดน้ำตาตัวเองช้าๆ ก่อนหมุนตัวฮวาเจินมานั่งลงหน้ากระจกอีกครั้งเพื่อทำผมให้
ชิงหรงยืนพิงเสาอยู่หน้าห้องมองซ้ายมองขวาก่อนมองเห็นลี่ซื่อหมิงเดินมาเข้าใกล้ ดวงตาเฉียบขาดดุดันเหล่มองนางกลับเช่นกันก่อนมองประตูห้องที่ถูกเปิด ฝางแฟหยินเปิดประตูพาฮวาเจินเดินออกมาในโฉมใหม่ด้วยชุดฮั่นฝูบางเบาเหมาะกับสรีระของนางมากกว่ากิโมโน ลี่ซื่อหมิงชะงักเท้าเงยหน้ามองฮวาเจินที่กำเศษผ้าสีขาวขึ้นมาปิดตา ทำให้ฝางแฟหยินกับชิงหรงมองฮวาเจินอย่างไม่เข้าใจ
“หึ จะแต่งยังไงเจ้าก็ไม่มีทางเหมือน” คำพูดเฉียบขาดของชายหนุ่มทำคนฟังอึดอัดไปตามๆ กัน
“ข้าน้อยเป็นข้าน้อยไม่บังอาจเหมือนใคร หรือก้าวก่ายแทนที่ใคร ต่างคนต่างที่มา ต่างทำตามหน้าที่ด้วยกันทั้งนั้น” คำโต้กลับของฮวาเจินทำให้ลี่ซื่อหมิงกำหมัดไม่พอใจเดินตรงดิ่งเข้าไปหาแล้วดึงข้อมือฮวาเจินเข้าห้อง ฝางแฟหยินมองตามอย่างตกใจแต่ต้องปล่อยไปเมื่อประตูปิดกระแทกอย่างแรงบ่งบอกอารมณ์เกรี้ยวกราด
