บทที่ 8 ตอนที่ 7
ฮวาเจินถูกพามานั่งลงบนเตียงสีแดงพร้อมแสงไฟสลัวเงยหน้ามองหญิงชราสูงศักดิ์ช้าๆ ที่จับมือตนเอง
“ท่านหญิงฝากเจ้าไว้กับข้า หากหลานชายข้าทำอันใดที่ผิดต่อเจ้า ส่งคนไปบอกข้าในวังหลวง หลานชายข้ามีปมเจ็บปวดหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
“เพคะ” ฮวาเจินก้มหน้ารับคำ
“ข้าไปละ” ไทเฮาจับมือฮวาเจินเบาๆ ก่อนเดินออกจากห้อง นางกำนัลปิดประตูส่งท้าย ชิงหรงยืนพิงเสาเหลือบมองหญิงสาวใช้ผีผาบรรเลงบทเพลงอันไพเราะสะกดได้ทั้งชายหญิงให้จับจ้องมาทางนางบวกกับความงามที่ดึงดูด เปยลี่ติงยืนถือจอกมองด้วยรอยยิ้มเสน่หาโดยไม่รู้เลยว่ามีฝางแฟหยินมองผู้เป็นสามีอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนเดินกลับไปที่ห้องของตน ชิงหรงแสยะยิ้มเงยหน้ามองอินทรีตัวใหญ่บินผ่านจวนไป
ปีกเรียวสวยงามโผบินก่อนบินร่อนลงมาเกาะแขนอันแข็งแกร่งที่ยืนอยู่บนหุบเหว มุมปากยกยิ้มพร้อมขยับแขนให้อินทรีบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ชิ้นเนื้อถูกโยนขึ้นป้อนอาหารอย่างท้าทายโดยสาวงามชุดม่วงทรวดทรงของนางไม่เป็นรองหญิงใดในใต้หล้าสวมผ้าพลิ้วไหวย่างกรายเข้ามาหาชายหนุ่มคมเข้มอย่างหัวอวิ๋นที่ยืนยกน้ำเต้าใส่สุรากระดกเข้าปากอย่างชื่นใจ
“หมากชิ้นงามไปถึงหรือยัง”
“ถึงแล้ว และดูเหมือนหมากชิ้นนี้จะใช้การได้ดีทีเดียว”
“อยู่ลั่วหยางก็ดี ทุกอย่างจะได้ง่ายขึ้น”
“ทหารลั่วหยางแข็งแกร่งดั่งภูผา ยิ่งจวนอ๋องสี่ทำอะไรต้องระวัง แต่ถึงแข็งแกร่งอย่างไรยอมแพ้ความเย้ายวนอยู่ดี”
“ข้าจะรอนางกลับมาหาข้าอย่างเต็มใจ” หัวอวิ๋นเหยียดยิ้มเหวี่ยงจอกน้ำเต้าทิ้งลงเหวเดินนำออกไป
งานรื่นเริงกำลังจบลงแต่ก็ไม่มีวี่แววเจ้าบ่าวจะเข้ามาในห้อง ฮวาเจินเปิดผ้าคลุมออกกวาดสายตามองรอบห้องหลังจากนั่งนิ่งมานานด้วยความเกร็ง ดวงตากลมโตมองประตูที่ปิดสนิทก่อนเดินไปเปิดก้าวขาออกมาเดินอ้อมห้องไปด้านหลังเมื่อเห็นเงาตะคุ่มของหนุ่มสาวกำลังพลอดรักกันน้ำเสียงรื่นหู ฮวาเจินเดินหลบกิ่งไม้ก่อนหยุดชะงักเมื่อเห็นภาพหญิงสาวนอนทับตัวชายหนุ่มผมขาวชุดแดงที่เท้าแขนพิงท่อนไม้
“ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่างเลียวเซียง แม้กระทั่งตำแหน่งฮูหยิน” ลี่ซื่อหมิงแสยะยิ้มจับเส้นผมหญิงตรงหน้าขึ้นมาสูดดม
“นายท่านช่างปากหวาน คืนนี้เป็นคืนเข้าหอของท่าน ข้าน้อยเกรงว่าอยู่กับข้าน้อยตอนนี้จะไม่เหมาะ” เลียวเซียงออดอ้อนลูบหน้าชายหนุ่มอย่างหลงใหลอย่างไม่ได้สนใจว่าใครจะจับตามองอยู่ ฮวาเจินผ่อนลมหายใจเบาบางหมุนตัวกลับเดินออกไป ลี่ซื่อหมิงชายตามองตามก่อนลุกขึ้นอย่างไม่แยแสเลียวเซียง
“โอ๊ย นายท่านไม่พอใจอะไรหรือเจ้าคะ” เลียวเซียงยืนขึ้นปัดเนื้อตัวเข้ามาจับแขนลี่ซื่อหมิงที่มองแผ่นหลังฮวาเจินเดินจากไปก่อนยกมุมปากเหยียดยิ้มเดินแยกออกจากจวนทิ้งเลียวเซียงทันที
“อะ นายท่าน! ” เลียวเซียงร้องเรียกด้วยความงุนงง ยืนกระทืบเท้ากำหมัดเสียดายจำใจเดินออกไป
ฮวาเจินเดินเข้าห้องปิดประตูลงกลอนเข้ามานั่งลงบนเตียงแล้วโน้มตัวลงนอนอย่างสบายใจอย่างน้อยคืนนี้ร่างกายนางยังคงเป็นของนาง ส่วนเรื่องที่เห็นแม้ทำนางเสียหน้าและอึดอัดแต่ก็ทำให้โล่งใจมากกว่าเดิม
แดดส่องร่ำไรเหนือหัวฮวาเจินที่อยู่ในชุดยูกาตะนั่งเท้าคางมองชิงหรงยืนสวมหน้ากากเล่นกับเด็กหน้าในจวนหยอกล้อสนุกสนานทำให้ยิ้มตามก่อนเหลือบเห็นจีเหนียงกับฝางแฟหยินเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ฮวาเจินลุกขึ้นก้มหัวทักทาย
“เจ้าช่างเหมือนชายาน้องชายข้ายิ่งนัก เว้นแต่ดวงตาหากมองดีๆ ต่างกันมากทีเดียว” ฝางแฟหยินมองหน้าฮวาเจินอย่างตะลึง
“เจ้าค่ะ ข้าน้อยนามว่าฮวาเจินเจ้าค่ะ”
“แม้แต่ชื่อก็ยังบริสุทธิ์ น่ายินดีแทนซื่อหมิงจริงๆ ” จีเหนียงฉีกยิ้มอย่างชอบใจมองฝางแฟหยินก่อนมองหน้าฮวาเจินที่ก้มหน้าสลดภาพเมื่อคืนผุดขึ้นมาในหัว
“อืม… เรียกข้าว่าฮูหยินชางแล้วกัน ข้าเป็นป้าสะใภ้ของซื่อหมิง” จีเหนียงแนะนำตัวด้วยรอยยิ้ม
“ซื่อหมิง…” ฮวาเจินทวนชื่ออย่างสับสน
“ลี่ซื่อหมิงหรือคาชิระ คือคนคนเดียวกัน ส่วนข้าฝางแฟหยินหรือฮูหยินเปย พี่สะใภ้ของซื่อหมิง”
“เจ้าค่ะ ขอบพระคุณสำหรับการต้อนรับเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ” ฮวาเจินก้มหัวรับอย่างสุภาพก่อนชะงักเมื่อเห็นลี่ซื่อหมิงยืนอยู่หลังจีเหนียงอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง ฝางแฟหยินเอียงหน้ามองตามสายตาฮวาเจินมองลี่ซื่อหมิงอยู่ในชุดเจ้าบ่าวกดสายตามองมาทางฮวาเจินอย่างไม่พึงพอใจ
