บทที่ 9 ตอนที่ 8
ชิงหรงหยุดเล่นหันมองฮวาเจินก้มหน้าก้าวถอยหลังเมื่อลี่ซื่อหมิงขยับขึ้นหน้าเดินเข้าหานาย ฮวาเจินเงยหน้าสบตาลี่ซื่อหมิงเมื่อข้างหลังติดเสา ลี่ซื่อหมิงหยุดกึกก่อนหันหน้ามองทางอื่นแล้วหันกลับมาจ้องฮวาเจินอย่างเกรี้ยวกราด
“ข้าเกลียดดวงตาของเจ้า” เสียงขบฟันแววตาจิกต่ำเน้นคำทำฮวาเจินลดสายตาก้มหน้าลง
“ซื่อหมิง…” ฝางแฟหยินเดินเข้าแทรกกลางอย่างหนักใจ
“ข้าจะไปนอนโรงเตี๊ยมสักสามสี่วัน” ลี่ซื่อหมิงพูดจบหมุนตัวกลับเดินออกไป จีเหนียงมองทั้งสองอย่างลำบากใจแทน ฮวาเจินชำเลืองมองชายหนุ่มที่เดินจากไปช้าๆ ก่อนผ่อนลมหายใจยาว
“ข้าน้อยขอตัวนะเจ้าค่ะ” ฮวาเจินก้มหัวให้จีเหนียงกับฝางแฟหยินก่อนเดินเลี่ยงกลับห้อง ชิงหรงได้แต่มองตามแล้วเบี่ยงตัวเดินออกจากจวน
ฮวาเจินปิดประตูห้องเดินมายืนมองชุดที่จัดเตรียมเพิ่มไว้ให้ก่อนเหลือบมองประตูที่เปิดออกอย่างแรงโดยชายผมขาว นางรีบก้มหน้าหลบสายตาชายหนุ่มแล้วเดินมาหยิบชุดเข้าตู้ไม้เลี่ยงการเข้าใกล้ ลี่ซื่อหมิงเดินมาหยิบจอกสุรารินใส่ปาก ฮวาเจินเบี่ยงตัวหลบเดินผ่านตัวลี่ซื่อหมิงในขณะที่ลี่ซื่อหมิงหันมาคว้าแขนนางไว้
“ข้าบอกว่าข้าเกลียดดวงตาเจ้า ไม่ได้ยินรึ! ” มือใหญ่บีบแขนฮวาเจินอย่างแรงจนต้องมองสบตาชายหนุ่มอย่างเจ็บปวด
“หึ” ลี่ซื่อหมิงผลักฮวาเจินออกแล้วเหวี่ยงจอกสุรากระแทกผนัง กลิ่นคละคลุ้งก่อนเดินถอดชุดเข้าไปแช่น้ำด้านในที่มีม่านกั้น ฮวาเจินเบี่ยงสายตาก้มมองจอกที่กลิ้งอยู่บนพื้นพร้อมลูบแขนที่ถูกบีบด้วยความเจ็บจนเกิดเป็นรอยนิ้ว จึงหยิบชุดของลี่ซื่อหมิงที่กองอยู่กับจอกเดินออกมาด้านนอก เจอกับฝางแฟหยินที่ยืนอยู่หน้าห้อง
“ฮูหยินเปย มีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ” ฮวาเจินเอ่ยทักเมื่อเห็นสีหน้าของฝางแฟหยิน
“เจ้าไม่เป็นอะไรนะ”
“ฮูหยินข้ามาทำอะไรที่นี่” เปยลี่ติงทักขึ้นหลังจากกลับมาจากด้านนอกด้วยชุดเดิมเดินเข้ามาหาฝางแฟหยินก่อนผงะมองฮวาเจินอย่างตกใจ
“พระชายา! เอ๊ะ ไม่ใช่ เหตุใดถึงคล้ายกันขนาดนี้ เจ้าคล้ายชายารัชทายาทแคว้นฉีมากกว่าไป่ซินเสียอีก”
“ข้าน้อยฮวาเจินเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ ข้าน้อยขอตัว” ฮวาเจินกล่าวจบรีบเดินจ้ำอ้าวไปด้านหลังทันที เปยลี่ติงขมวดคิ้วมองหน้าฝางแฟหยินที่จ้องตนเองอย่างไม่พอใจ
“ซื่อหมิงไม่ได้เข้าหอแค่นี้ก็ผิดแล้ว ท่านควรทำอะไรสักอย่างไม่ใช่มัวแต่ลุ่มหลง! ”
“ข้ารึลุ่มหลง”
“แล้วท่านหายไปไหนมาทั้งคืนถ้าไม่เรียกว่าลุ่มหลง” ฝางแฟหยินขมวดคิ้วเหนื่อยหน่าย
“อ่อ ข้าไปค้างกับ”
“ช่างเถอะ ท่านจะค้างกับใครก็เรื่องของท่าน” ฝางแฟหยินยกมือห้ามเดินหนีไปที่ครัวทันที เปยลี่ติงงับปากลงทันควันมองผู้เป็นภรรยาอย่างไม่เข้าใจก่อนมองลี่ซื่อหมิงเดินออกมาในชุดใหม่ เปยลี่ติงก้าวขึ้นมาดันลี่ซื่อหมิงเข้าห้องพร้อมปิดประตู
“ข้าไม่เข้าใจนางเลยจริงๆ เอะอะโมโห ดึงหู ข้าเป็นถึงแม่ทัพ ฝีมือธนูของข้าเหนือใคร หญิงงามต่างยอมสยบ ยกเว้นองค์หญิงสาม ข้าไม่เข้าใจ”
“ข้าก็ไม่เข้าใจเหตุใดข้าต้องมายืนฟัง ข้าจะออกไปข้างนอก”
“เจ้าจะไปไหน เจ้าควรเข้าหอ อยู่ดูแลเอาใจฮูหยินของเจ้า”
“เหมือนท่านแม่ทัพนะรึ เอาใจแต่ไม่ได้ใจเห็นทีจะเสียเปล่า ข้ามีเวลาต้องทำอย่างอื่นอีกมากมาย” ลี่ซื่อหมิงเปิดประตูออก
“ที่เจ้าทำกิริยาเช่นนี้เพราะนางเหมือนไป่ซินกับพระชายาใช่หรือไม่”
“นางต้องเปลี่ยนมากกว่าดวงตาถึงจะเหมือน อย่าได้เทียบกับไป่ซินและพระชายา” พูดจบก็เดินกระแทกประตูออกไป เปยลี่ติงหรี่ตามองก่อนลุกพรวดวิ่งออกจากห้องไปดักหน้าลี่ซื่อหมิง
“ท่านพ่อกำลังจะกลับมา เจ้าก็รู้ว่าหากไม่เจอเจ้าอยู่กับฮูหยินที่เพิ่งแต่ง อะไรจะเกิดขึ้น” เปยลี่ติงฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ซึ่งรั้งลี่ซื่อหมิงได้สำเร็จ
“ท่านพ่อจะกลับมาถึงเมื่อใด”
“ไม่รู้สิ อาจเป็นวันนี้ วันรุ่ง หรือสองวัน สามวัน ขึ้นอยู่กับเส้นทางทัพ สาส์นส่งมาบอกว่าจะถึงลั่วหยางแล้ว”
“คงไม่ถึงเร็วขนาดนั้น”
“ลองดูสิ” เปยลี่ติงแสยะยิ้มมองลี่ซื่อหมิงก้มหน้านิ่งคิด “ไปฝึกกระบี่กับข้าและจวิ้นอ๋องอี๋สักหน่อยเป็นการรอแล้วกัน เมื่อคืนข้าดื่มหนักจนต้องนอนอยู่กับจวิ้นอ๋องอี๋ ปานนี้ไม่รู้สร่างหรือยัง”
เปยลี่ติงพูดจบเดินลากตัวลี่ซื่อหมิงออกไปทันทีอย่างไม่ต้องถามถึงความคิดเห็นใดๆ
