บทที่ 4
มุมมองของแอล
ฉันยืนอยู่หน้าอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ของครอบครัวในเขตมนุษย์ มือของฉันค้างเติ่งอยู่บนลูกบิดประตู เสียงตะโกนโหวกเหวกจากข้างในทำเอาท้องไส้ของฉันปั่นป่วนไปหมด ฉันจำเสียงแหลมปรี๊ดของคุณย่าเกรซที่ดังทะลุผนังบาง ๆ ออกมาได้ ตามมาด้วยเสียงคล้ายของบางอย่างแตกละเอียด ใจหนึ่งก็อยากจะหันหลังกลับแล้วเดินหนีไปหาที่ซุกหัวนอนที่อื่น แต่ฉันอุตส่าห์มาถึงนี่แล้วเพื่อมาดูแม่บุญธรรมของฉัน
ฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วผลักประตูเข้าไป
ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำเอาเลือดในกายฉันเย็นเยียบ ซูซาน แม่บุญธรรมของฉัน กำลังคุกเข่าอยู่กลางห้องนั่งเล่น ศีรษะก้มต่ำขณะที่คุณย่าเกรซยืนค้ำหัวเธอด้วยใบหน้าแดงก่ำด้วยความเดือดดาล เศษกระเบื้องแตกกระจายเกลื่อนอยู่รอบหัวเข่าของซูซาน
“นี่แกเรียกว่าสะอาดแล้วเรอะ” คุณย่าเกรซตวาดลั่น พลางโยนเศษจานที่เคยเป็นจานข้าวใส่หน้าซูซานอีก “ดูคราบพวกนี้สิ! แกตาบอดหรือไงถึงได้โง่เง่าขนาดนี้”
ซูซานไม่เงยหน้า ไม่แม้แต่จะปกป้องตัวเอง ฉันเห็นรอยช้ำสีม่วงคล้ำเริ่มปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเธอ แม่คุกเข่าอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้วนะ
ฉันทิ้งกระเป๋าแล้วโผเข้าไปทรุดตัวลงคุกเข่าข้าง ๆ เธอ
“คุณย่าเกรซคะ ได้โปรดเถอะค่ะ” ฉันอ้อนวอนพลางโอบแขนรอบไหล่ที่สั่นเทาของซูซาน “แม่ซูซานแค่เช็ดพลาดไปนิดหน่อยเอง คุณย่าไม่เห็นต้องทำร้ายแม่เลยนี่คะ!”
ความสนใจของคุณย่าเกรซเปลี่ยนมาที่ฉันทันควัน ดวงตาของเธอหรี่ลง “แหม ดูสิว่าใครเพิ่งจะโผล่หัวมา!”
ฉันได้แต่ข่มใจไว้ บอกท่านไปไม่ได้ว่าฉันเพิ่งกลับจากที่ทำงาน เหนื่อยสายตัวแทบขาดแถมยังใจสลายจนต้องขอลางป่วย และที่แน่ ๆ คือฉันพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับแบรด เรย์น ไม่ได้เด็ดขาด ความทรงจำนั้นแวบเข้ามาในหัว—ดวงตาสีอำพันของเขา ความร้อนจากผิวกายของเขา—แล้วฉันก็รีบปัดมันทิ้งไป
“ขอโทษค่ะ” ฉันพูดเสียงแผ่ว “ที่ทำงานยุ่งมากค่ะ”
“งานเหรอ” ท่านแค่นเสียง “ไอ้งานกระจอก ๆ ในเขตมนุษย์นั่นน่ะเรอะ ฉันพนันได้เลยว่าเงินเดือนเดือนนี้ของแกก็คงไม่พอจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนของตัวเองอีกตามเคย”
ซูซานพยายามจะพูดขึ้น “แอลทำงานหนักมากนะคะ—”
“หุบปาก!” คุณย่าเกรซตวาด “ไม่มีใครถามแก”
ฉันรู้สึกได้ว่าซูซานสะดุ้งอยู่ข้าง ๆ และกระชับแขนที่โอบรอบตัวเธอให้แน่นขึ้น “ได้โปรดอย่าตะคอกใส่แม่เลยค่ะ”
คุณย่าเกรซโน้มตัวลงมาจนใบหน้าอยู่ห่างจากฉันไม่กี่นิ้ว “แกน่ะหายหัวไปไหนก็ไม่รู้ทั้งวัน กลับบ้านค่ำ ๆ มืด ๆ งานบ้านงานช่องไม่เคยคิดจะช่วย แม่บุญธรรมของแกตามใจจนเคยตัวไปหมดแล้ว!”
ความไม่ยุติธรรมนั้นแผดเผาอยู่ในอก ฉันทำงานหนักกว่าใครในบ้านหลังนี้ แต่กลับต้องมาเจอการทารุณกรรมแบบนี้ แต่การโต้เถียงไปก็มีแต่จะทำให้เรื่องเลวร้ายลง
“เดี๋ยวฉันช่วยทำงานบ้านเองค่ะ” ฉันเสนอเสียงแผ่ว “ให้ฉันเก็บกวาดเศษพวกนี้เอง”
คุณย่าเกรซแค่นเสียง “มันสายเกินไปแล้ว แกมันก็เหมือนแม่ของแกไม่มีผิด—ไร้ค่าสิ้นดี!”
ว่าแล้วท่านก็คว้าถ้วยชาจากโต๊ะข้าง ๆ แล้วขว้างใส่ซูซาน โดยไม่ทันได้คิด ฉันขยับตัวเข้าไปบังเธอไว้ ถ้วยชากระแทกแผ่นหลังของฉันจนแตกละเอียด น้ำชาร้อน ๆ ซึมผ่านเสื้อเบลาส์ที่เปื้อนอยู่แล้วของฉัน ฉันรู้สึกเจ็บแปลบเมื่อเศษกระเบื้องบาดเข้าไปในเนื้อ
ซูซานอุทานลั่น “แอล!”
ฉันกัดฟันข่มความเจ็บปวด “ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
ประตูหน้าเปิดออก และเมแกน ลูกพี่ลูกน้องของฉัน ก็ก้าวเข้ามาอย่างร่าเริงพร้อมถุงชอปปิงเต็มสองมือ ในทันใดนั้น สีหน้าของคุณย่าเกรซก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน
“หลานรักของย่ากลับมาแล้ว!” ท่านพูดเสียงหวาน ความเกรี้ยวกราดก่อนหน้านี้หายวับไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น ท่านรีบเดินไปหาเมแกน ไม่สนใจฉันกับซูซานที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้นแม้แต่น้อย “ซื้ออะไรมาบ้างจ๊ะ สุดที่รัก”
เมแกนยิ้มเยาะฉันข้ามไหล่ของคุณย่าขณะที่เธอหยิบขนมออกจากถุง "ดูสิคะคุณย่า วันนี้ไทเลอร์ซื้ออะไรมาให้เมแกนด้วย เขาบอกว่าเจ้านายของเขาในเขตผสมอาจจะมีตำแหน่งงานว่างเร็วๆ นี้"
"ดีจริง!" คุณย่าเกรซยิ้มกว้างพลางลูบผมของเมแกน แล้วท่านก็หันมาถลึงตาใส่พวกเรา "เห็นไหมล่ะ เมแกนหาแฟนที่มีเส้นสายกับพวกนายจ้างมนุษย์หมาป่าได้ คนเรามันต้องแบบนี้ถึงจะเจริญ! ไม่เหมือนพวกแกสองคน พอใจกับแค่เศษเดน"
ฉันช่วยพยุงซูซานให้ลุกขึ้นยืน สังเกตเห็นเธอที่นิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด "มาเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันล้างแผลให้"
ประตูหน้าเปิดออกอีกครั้ง และพ่อก็ย่องเข้ามาเงียบๆ เขากวาดตามองภาพตรงหน้า—เศษจานที่แตกกระจาย รอยฟกช้ำของซูซาน เลือดที่ซึมผ่านเสื้อของฉัน—แล้วก็เบือนหน้าหนี สายตาเหลือบมองคุณย่าเกรซอย่างประหม่า
"แม่ครับ" เขาพูดอย่างระมัดระวัง "คืนนี้พอแค่นี้ก่อนดีไหมครับ ถ้าซูซานทำมื้อค่ำไม่ได้เพราะเจ็บตัว พวกเราทุกคนจะอดกันหมดนะครับ แล้วนี่ก็เป็นสัปดาห์พระจันทร์เต็มดวง—พวกมนุษย์ออกไปหาอาหารตอนมืดค่ำไม่ได้"
ฉันจ้องเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่คือสิ่งที่พ่อเป็นห่วงเหรอ ไม่ใช่เรื่องที่ภรรยากับลูกสาวของตัวเองกำลังถูกทำร้าย แต่เป็นเรื่องที่มื้อค่ำอาจจะช้าไปอย่างนั้นน่ะหรือ
"เราจะไป" ฉันประกาศขึ้นมากะทันหัน คว้ามือของซูซานไว้ "ไปกันเถอะค่ะซูซาน เราไม่ต้องอยู่ที่นี่อีกแล้ว"
ดวงตาของซูซานเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก เธอกระชากมือออกจากฉันแล้วถลาไปยังห้องครัว "ไม่นะ! เดี๋ยวฉันทำเอง! ฉันจะเริ่มทำมื้อค่ำเดี๋ยวนี้แหละ!"
เธอคว้ามีดแล้วเริ่มสับผักอย่างลนลาน มือสั่นเทาจนฉันกลัวว่าเธอจะบาดตัวเอง "เห็นไหม ฉันกำลังทำอาหารอยู่ ทุกอย่างเรียบร้อยดี"
ภาพที่เธอพยายามเอาใจคุณย่าเกรซอย่างสิ้นหวังทำให้อะไรบางอย่างในตัวฉันแตกสลาย เธอหวาดกลัวเกินกว่าจะจากไป ถูกปลูกฝังมานานเกินไปจนเชื่อว่านี่คือทั้งหมดที่เธอสมควรได้รับ
"ซูซาน ได้โปรดเถอะค่ะ..." ฉันกระซิบ
แต่เธอกลับส่ายหน้าอย่างบ้าคลั่ง น้ำตานองหน้าขณะที่ยังคงสับผักไม่หยุด "ฉันขอโทษ ฉันจะทำตัวให้ดีกว่านี้ ได้โปรดอย่าโกรธเลยนะ"
ตอนนั้นฉันก็รู้แล้วว่าคงไม่มีทางโน้มน้าวให้เธอจากไปในคืนนี้ได้ คุกทางใจนี้มันแข็งแกร่งเกินไป มันถูกสร้างขึ้นมาจากการถูกทารุณกรรมนานนับทศวรรษ
ฉันตัดสินใจคว้ากระเป๋าแล้วจากไป ไม่มีใครพยายามจะรั้งฉันไว้ขณะที่เดินออกไป
บนรถประจำทางที่มุ่งหน้ากลับเข้าตัวเมือง ฉันมองเส้นแบ่งระหว่างเขตมนุษย์และเขตผสมผ่านหน้าต่างออกไป แสงไฟตามท้องถนนสว่างขึ้น ตึกรามบ้านช่องดูใหม่กว่าเดิม โทรศัพท์ของฉันสั่นเพราะข้อความจากเจสัน
"แอล เกิดอะไรขึ้นกับเธอน่ะ ทำไมไม่รับสายฉันเลย ที่นี่ทุกอย่างเยี่ยมมาก ได้รับข้อความแล้วโทรกลับหาฉันด้วยนะ รักนะ เจสัน"
แล้วเขาก็โทรมา
นิ้วของฉันจ่ออยู่เหนือปุ่มรับสาย แต่ฉันไม่กล้าพอที่จะกดมันลงไป ฉันจะพูดอะไรได้ล่ะ "นี่ ฉันไปนอนกับแบรด เรย์น อัลฟ่ามนุษย์หมาป่าที่เป็นซีอีโอของเรย์นกรุ๊ปมา" งั้นเหรอ
ฉันเก็บโทรศัพท์ เหมือนนกกระจอกเทศที่ซุกหัวในทราย การหลบหนีมันง่ายกว่าการเผชิญหน้ากับความจริง การแสร้งทำเป็นว่าไม่เห็นสายเรียกเข้าง่ายกว่าการพูดคำที่จะทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา
ฉันปิดเสียงโทรศัพท์แล้วแนบหน้าผากลงกับกระจกเย็นๆ มองแสงไฟในเมืองที่พร่าเลือนผ่านม่านน้ำตา สักวันหนึ่ง ฉันสัญญากับตัวเองว่าจะหาเงินให้ได้มากพอที่จะพาซูซานออกจากบ้านหลังนั้นให้ได้
แต่ก่อนอื่น ฉันต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน
