บทที่ 8 บทที่ 8.
ส่วนน้องเล็กคนสุดท้องคือ วัตสัน หรือ วสันต์ ชายหนุ่มวัย 27 ปีผู้มีความสดใสร่าเริง ประดุจฝนแรกฤดู เขาเป็นคนที่ยิ้มหัวง่ายและขี้เล่นนอกจากนี้ยังเป็นขวัญใจบรรดาคนงานและพนักงานทั้งที่บริษัทแปรรูปและส่งออกวารินกรุ๊ป และที่ รีสอร์ตพราวแสงจันทร์อีกด้วยเพียงแต่ตอนนี้ชายหนุ่มไปเรียนต่อที่อเมริกาและวสันต์เองก็ชอบที่จะทำงานแบบอิสระและชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ ดังนั้นทางบ้านจึงไม่แปลกใจที่วสันต์จะเป็นหนึ่งในทีมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของหน่วยงานอาสาสมัครอิสระที่เข้าไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในประเทศด้วยพัฒนาในแอฟริกาและกำลังจะจัดตั้งมูลนิธิช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในประเทศโลกที่สาม
แต่ไม่ว่าอย่างไรทั้งสามหนุ่มก็ยังคงความโสดอยู่จนทำให้ทั้งนายใหญ่และนายหญิงกลัวว่าจะไม่ได้อุ้มหลานพยามหว่านล้อมและหาเหตุผลมาให้ทั้งสามหนุ่มมีครอบครัวเสียที โดยเฉพาะนายหัวมาร์คที่ตอนนี้อายุก็ปาเข้าไปสามสิบหกปีแล้วยังไม่คิดแต่งงานมีครอบครัว ทำให้ผู้เป็นบิดามารดาได้แต่หวังว่าจะมีหญิงสาวคนใดมาทลายกำแพงน้ำแข็งและจูงมือบุตรชายของนางเข้าประตูวิวาห์เสียที
ร่างสูงใหญ่ของบุตรชายที่นางเพิ่งคิดถึงเมื่อครู่ เดินขึ้นเรือนมาพร้อมกับโยนหมวกใบโปรดให้เจ้า คอบร้า สุนัขพันธุ์ไทยหลังอานขนสีน้ำตาลแดงเข้มที่มันจะมาคอยรับนายหัวของมันเสมอๆ
โฮ่งๆๆ เจ้าสี่ขาเห่าอย่างขอความดีความชอบที่เอาหมวกไปเก็บไว้ที่แขวนหมวกอย่างเรียบร้อย เจ้าคอบร้าเคล้าเคลียเจ้านายหนุ่มอย่างยินดีเมื่อเขานำช็อกโกแลตเนยถั่วของโปรดยื่นให้ และมันก็รีบคาบไปกินที่มุมประจำของมัน
“เป็นไงล่ะมาร์ค ได้คนที่จะมาแต่งรีสอร์ต ใหม่แล้วรึลูก”
“ครับแม่ เป็นน้องสาวเพื่อนของเพื่อนอีกทีน่ะครับ เพิ่งจะเริ่มทำบริษัทของตัวเองแต่ก็ยังไม่เป็นทางการเหมือนกับว่าเขารับทำแค่เป็นช่วงระยะเวลาหรือตามความพอใจของคนทำน่ะครับ แต่ได้ข่าวว่าฝีมีดีงานเข้าไม่ขาดเลยลองไปคุยด้วยตัวเองดูก็เข้าท่าดี และมีทัศนคติในการออกแบบตกแต่งคล้ายๆ กันด้วยก็เลยตกลงว่าจ้างเขา”
“แบบนี้ก็มีด้วย หึหึ แต่ก็ดีแล้วล่ะลูก ที่หาคนที่สนใจและทำงานไปในทางเดียวกันได้ ดีกว่าทำๆ ไปแล้วนึกเบื่อแล้วก็ออกไป เราก็ต้องเสียเวลาหาคนมาแทน”
นายหญิงวาริน นึกประหลาดใจที่ยังมีคนที่รับงานตามอารมณ์ความพอใจของตัวเองมากกว่าอยากจะรับงานเพื่ออยากได้เงินเยอะๆ นับว่าคนที่รับงานนี้มีความเป็นตัวของตัวเองสูงทีเดียว
“แล้วนี่นายใหญ่ไปไหนล่ะครับตั้งแต่มาไม่เห็น ปกติติดคุณแม่แจกลัวแต่ว่าผมเข้าใกล้นายหญิงวารินคนสวยจะตายไป”
นายหัวหนุ่มถามถึงบิดา เมื่อไม่เห็นว่าวันนี้นายใหญ่นิคลอส เฝ้าศรีภรรยาอย่างทุกวัน ใครๆ ต่างก็รู้ว่านายใหญ่ทั้งรักและหวงนายหญิงวาริน แค่ไหน หึงแม้กระทั่งห้ามไม่ให้ลูกชายทั้งสามหอมแก้มนายหญิงของตน แต่ลูกๆ ทั้งสามคนก็หาฟังไม่และมักจะขโมยหอมแก้มนวลๆ ของมารดาเสมอ ทำให้ผู้เป็นบิดาต้องคอยเฝ้าระวังไม่ห่าง แทบจะตามติดแจ จนบางครั้งคนเป็นภรรยาก็เบื่อหน่าย พอบอกไปตรงๆ นายใหญ่ที่ตัวสูงใหญ่ไม่แพ้ลูกๆ ก็จะงอนไม่ยอมกินข้าวปลา และลูกๆ ต้องมาคอยช่วยงอนง้อทุกครั้งไป มันน่าดูเสียที่ไหนกันที่ชายวัยหกสิบกว่าจะมาทำท่างอนเหมือนเด็กๆ
“ดูมาร์คพูดเข้า พ่อเขาไปดูคนงานเขาเก็บมะพร้าวน่ะ เห็นว่าได้ลิงใหม่มาสองตัวกำลังสอนให้เก็บมะพร้าวอยู่”
นายหญิงตีแขนแกร่งลูกชายเบาๆ อย่างขวยเขิน และมันก็สร้างรอยยิ้มเล็กๆ บนปากหยักได้รูปนั่นทำให้ใบหน้าที่กระด้างอยู่เป็นนิจนนั้นอ่อนโยนลงและน่ามองขึ้นอีกเท่าตัว จะมีใครบอกลูกชายนางไหมหนอว่ารอยยิ้มของเขาช่างสวยงามและสว่างไสวไม่แพ้ชายใดเลยหรืออาจจะงดงามกว่าชายใดเสียด้วยซ้ำ มันทำให้ใบหน้าเย็นชานั้นหล่อเหลาราวกับเทพบุตรเลยทีเดียว แต่รอยยิ้มนั้นหาได้ยากยิ่งบนใบหน้าของนายหัวมาร์ค เหมันต์ หิรัญวารินทร์
“งั้นเดี๋ยวผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับแม่”
ชายหนุ่มลูกขึ้นเต็มความสูง188 เซนติเมตร พลางบิดกายไล่ความเมื่อยล้าก่อนจะโฉบจมูกโด่งคมขโมยความหอมกรุ่นของมารดาอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายใหญ่เดินมาลิบๆ
“ไป คอบร้า” สิ้นเสียงเรียก เจ้าคอบร้าก็กระโดดวิ่งตามนายหนุ่มไปอย่างยินดี นายหญิงวารินมองตามบุตรชายคนโตไปอย่างแสนรัก พลางหันมายิ้มหวานให้นายใหญ่ที่เดินหน้าตึงๆ ขึ้นเรือนมา
“เมื่อกี้พ่อเห็นเจ้ามาร์ค มันมาเกาะแกะแม่รึเปล่า ฮึ่มเจ้าพวกนี้เผลอเป็นไม่ได้เชียว”
“แหมคุณพี่คะ นั่นน่ะลูกนะคะ จะหึงจะหวงอะไรนักหนา แก่ๆ กันแล้ว”
“ได้ที่ไหนกันคุณ มันโตจนจะแก่แล้วมันยังไม่มีลูกมีเมียเป็นตัวเป็นตน แต่ดันมาขโมยหอมแก้มเมียคนอื่นนี่”
“แต่เมียคนอื่นนี่ คือแม่ของเขานะคะคุณพี่” นายหญิงวาริน บอกกับสามีพลางหอมแก้มเอาใจจนผู้เป็นสามีขี้หึงยิ้มออก เปลี่ยนโหมดเป็นอารมณ์ดีกะทันหัน
“โธ่น้องล่ะก็ ก็พ่อหวงของพ่อนี่จ๊ะแม่จ๋า พวกมันโตๆ กันแล้วให้มันไปหาเมียเอาเอง จะได้ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกับเราสองตายายไงจ๊ะและอีกอย่างเราก็จะได้อุ้มหลานกันด้วยไง”
นายใหญ่เข้ามาโอบกอดภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากอย่างเอาใจพร้อมกับจี้จุดร้อนให้นางโอนอ่อนผ่อนตาม
