บทที่ 2 1
ท่ามกลางความสว่างจากดวงไฟตามทางเดิน มารินเพิ่งได้สังเกตว่าแท้จริงแล้ว ‘บ้านวิธวินทร์’ ไม่ใช่แค่เพียงบ้านหลังนั้น แต่คืออาณาจักรที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาซึ่งมีอาคารหลายหลังอยู่ในอาณาเขตเดียวกัน และเพิ่งได้รู้ในตอนนั้นว่า เจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ช่วยเหลือเธอจากภัยร้ายคือใคร
เสียงสั่นเครือเอ่ยถาม “คุณชาวี ฮึก! คุณชาวีใช่ไหมคะ”
‘ชาวี วิธวินทร์’ ศัลยแพทย์หนุ่มที่ฝีมือหาตัวจับยาก ที่แม้จะโด่งดังแค่ไหนก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเกิดมาในเงามืด
เขาคือแพทย์ผู้รักษามะเร็งให้น้องชายของเธอ คือชายเพียงคนเดียวที่เธอเฝ้ามองและถวิลหา และยังเป็นคนเดียวที่ฝังทั้งความหวาดหวั่นและความปรารถนาเอาไว้ในใจเธอ
ต่อให้เขาไม่ได้หันมาตอบอะไร เธอก็ไม่มีทางลืมเขาไปได้
“หนูไม่รู้ว่าคุณมาที่นี่ได้ยังไง แต่ช่วยแจ้งตำรวจทีได้ไหมคะ มือถือหนูหล่นตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ แต่เพื่อนหนูโดนฆ่าตายอยู่ในนั้น”
“ฆ่าเลยเหรอ?” เขาชะงัก หันกลับมาถามอย่างไม่คาดฝัน
หญิงสาวทรุดลงคุกเข่าอ้อนวอน “ช่วยด้วยนะคะ ช่วยหนูกับเพื่อนด้วย”
ชาวีนิ่ง ดวงตาดำลึกจ้องมองเธออย่างพิจารณา ก่อนที่มุมปากหยักจะกดยิ้มมีเลศนัย แววตาที่ใครต่อใครเตือนว่าอันตรายมีแววหยอกเย้าแอบแฝง
“จะรับงานทั้งที ไม่เช็กเลยเหรอว่าลูกค้าแต่ละคนเป็นยังไง”
“...” มาริน
เธอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่วันก่อนที่เราได้เจอกันในคลับ ที่ซึ่ง ‘ดนุ’ พี่ชายที่เคารพฝากฝังให้เธอเข้าทำงาน
ในคืนนั้น ชาวีจงใจเรียกให้มารินไปรับรองในห้อง VIP แม้ดนุจะทัดทาน ทว่าชาวีกลับติดต่อเจ้านายอย่างคุณพิยดาโดยตรงว่าเขาเจาะจงแค่เธอเท่านั้น
บรรยากาศในห้องหรูหราตัดกับเสียงเพลงที่ลอดผ่านประตูเข้ามาเพียงแผ่วเบา เขานั่งทอดกายบนโซฟาเหมือนเป็นเจ้าของโลกทั้งใบ ดวงตาคมเข้มจับจ้องเธอราวกับล่วงรู้ทุกสิ่งที่เธอซ่อนไว้
‘ดื่มกับฉันหน่อยสิ’ เสียงทุ้มเรียบแต่แฝงแรงกดดันทำให้หัวใจเธอเต้นแรงจนแทบทะลุอก
มารินลังเล...
ริมฝีปากแดงเรื่อเม้มเข้าหากัน พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงาน ดังนั้น เธอจึงชงเหล้าสำหรับตัวเอง หากก็ถูกชาวีรั้งมือเอาไว้
‘แก้วนี้’ ชายหนุ่มยื่นแก้วตัวเองมาให้ สายตาร้อนแรงพาให้ปากคอมารินแห้งผาก
ชาวีสลับแก้วให้โดยที่มารินไม่ขืนไว้ แต่พอจะดื่มมัน ปลายนิ้วเรียวกลับสั่นระริก ใช่ว่าคออ่อนดื่มไม่เป็น แต่เพราะตอนนี้ ขอบเขตของเธอถูกรุกล้ำมากเกินไป กระนั้นก็ไม่อยากถูกมองว่าไม่เป็นมืออาชีพจึงค่อย ๆ จรดขอบแก้วกับริมฝีปาก
พอแอลกอฮอล์เข้ามาในร่างกาย สิ่งที่ทำให้มารินร้อนผ่าวกลับไม่ใช่เหล้า หากเป็นสายตาคมปลาบที่มองมาไม่วางตา
ในแววตานั้น ไม่มีความสั่นไหวจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ มีเพียงพลังรุนแรงที่พร้อมทลายกำแพงป้องกันที่มารินสร้างไว้ จนสัญญาณบางอย่างร้องเตือนขึ้นในใจว่าไม่ปลอดภัย หญิงสาวจึงค่อยวางแก้วลง
‘หนู... ดื่มพอแล้วค่ะ’ น้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ปลายนิ้วที่กำชายกระโปรงไว้กำลังฟ้องว่าใจเธอไม่สงบ
ชาวีผุดรอยยิ้มของนักล่าที่เพิ่งเห็นเหยื่อพยายามดิ้นสุดแรง
‘กลัว?’
หัวใจของมารินกระตุกวาบ แต่เธอเชิดหน้าขึ้นน้อย ๆ ดวงตาคล้ายท้าทายแม้ในอกสั่นไหว
‘ไม่ค่ะ... มันเป็นกฎของร้าน และของบางอย่าง มากไปก็ไม่ดี’
‘อย่างฉัน?’ ชาวีขยับเข้ามาใกล้จนลมหายใจอุ่นเป่ารดข้างพวงแก้มนุ่ม กลิ่นแอลกอฮอล์ผสมกลิ่นน้ำหอมตวัดผ่านปลายจมูก เสียงในใจของมารินกรีดร้องอย่างบ้างคลั่งว่าเธอ... ควรหนี
‘หมดเวลาทำงานของหนูแล้วค่ะ ต้องขอตัวก่อนนะคะ’
‘เดี๋ยวสิ’
ชาวีรั้งข้อมือเล็ก กระชากเบา ๆ จนร่างบางถลันเข้ามาชนกับแผงอกแข็งแรง แขนหนักของเขาตวัดรอบเอว เงาของร่างสูงทาบทับจนทางหนีถูกปิดสนิท ปลายจมูกเฉียดข้างขมับคล้ายต้องการจะสูดลมหายใจของเธอเข้าปอด กลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งผสมความร้อนจากร่างชายโอบรัดแผ่ว ๆ แต่แน่นพอให้หัวใจเธอสะท้าน
‘รีบไปไหน... มาริน’ เสียงกระซิบต่ำ ลากชื่อเธออย่างจงใจ
‘ทำแบบนี้ไม่เหมาะนะคะ’
‘ก็ขายตัวอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ไม่เหมาะยังไง’
มารินชะงักเพียงเสี้ยววินาที ก่อนเชิดสายตาขึ้นสบกับดวงตาที่ลึกล้ำคล้ายมหาสมุทร
‘หนูขายเวลา ไม่เคยขายศักดิ์ศรีค่ะ... ต่างกันมากนะคะ’
เสียงหัวเราะต่ำลอดลำคอของชายหนุ่ม มันแห้งและหยาบกระด้างพอที่จะขีดลงบนดวงใจของมารินให้เป็นริ้ว ‘ฉันจะซื้อทุกอย่างของเธอ ขายเท่าไหร่?’
‘...’ คนตัวบางน้ำตาร่วงหยดย่างห้ามไม่ได้ ในใจเธอโกรธเสียยิ่งกว่าโกรธ แต่ไม่อยากทำให้เสียงาน หากพอจะผละออก ร่างหนากลับรัดแน่นกว่าเดิม
‘กลัวฉันจ่ายไม่ไหวเหรอ?’
‘ขอร้องค่ะ ปล่อย…’ มารินกดเสียงต่ำ หากแต่แฝงคำวิงวอนสุดท้ายก่อนทุกอย่างในตัวเธอจะแหลกสลาย
‘ทำไมต้องปล่อย ในเมื่อฉันยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ’
‘หนูไม่ได้ขายค่ะ’
เสียงที่เคยนิ่ง เวลานี้มันสั่นน้อย ๆ พาให้ชาวีรู้สึกตื่นเต้น ที่สุดท้ายแล้ว เขาทำให้ผู้หญิงที่ดูนิ่ง เยือกเย็น และแตะต้องยากอย่างมารินแสดงอารมณ์ออกมาได้
‘ชอบให้ฟรีงั้นสิ?’ ชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงไปใกล้
มารินเอียงตัวหลบอย่างสุดกำลังแต่ไม่พ้นถูกเรียวปากร้อนผ่าวประทับลงที่พวงแก้ม สัมผัสของเขาร้อนแรงเหมือนไฟ ไล่ต้อนจนเธอหมดท่า แต่ความกลัวที่แผ่ซ่านกลับพาให้น้ำตาของเธอพรั่งพรู
ทว่าก่อนที่ชาวีจะได้ทำมากกว่านั้น ดนุก็เปิดประตูพรวดเข้ามาเสียก่อน ชาวีถึงกับชะงัก ส่วนมารินใช้จังหวะนั้นผละออกมายืนตัวตรงแต่ยังก้มหน้าไม่ยอมให้ดนุเห็นน้ำตา
‘ลูกค้าไม่ชอบที่โฟมมาบริการค่ะพี่นุ ช่วยหาพนักงานคนใหม่มาแทนโฟมด้วยนะคะ’
พูดจบมารินก็เดินออกไปพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงหล่น ดนุมองตามน้องสาวด้วยความเวทนาก่อนหันไปจ้องหน้าอดีตเพื่อนแล้วส่ายศีรษะ ไม่ต้องถามอะไรให้มากด้วยซ้ำเพราะทุกอย่างมันชัดเจน
‘คนนี้กูขอไว้สักคนเถอะ’
ชาวีไม่ได้ตอบคำขอของเพื่อน เพียงยกเหล้าขึ้นกลั้วในปาก ให้กลิ่นของมันเข้าไปรวมกับกลิ่นหอมจางของพวงแก้มที่ยังติดอยู่ในฆานประสาท ค่อยเอนหลังพิงพนักโซฟาพร้อมกลืนมันลงไป และบอกกับตัวเองว่า สักวัน... เขาจะกลืนกินมารินทั้งตัวจนเธอไม่หลงเหลือความน่าค้นหาใด ๆ อีก
แม้ในคืนที่ต้องสูญเสียเพื่อนรักไป โลกจะเหวี่ยงให้ชาวีกลายเป็นผู้ช่วยชีวิตเธอจากเงื้อมมือปีศาจ ถึงอย่างนั้น มารินก็ยังยืนยันคำเดิม
“หนูไม่ได้รับงานนะคะ หนูแค่มากับเพื่อน”
แต่ใครสนกัน... ต่อให้มารินจะขายตัว หรือยังเป็นสาวบริสุทธิ์ ไม่สำคัญทั้งนั้น
ชาวีสนเพียงว่า เธอกับเพื่อนคนที่เธอบอกว่าถูกฆ่า มีความหมายกับชินดนัยแบบไหน และการที่เขาจะปล่อยเธอไป เป็นทางเลือกที่ดีกว่ารั้งเธอไว้ข้างกายเพื่อใช้ประโยชน์หรือไม่ เพราะใช่ว่าชาวีไม่รู้จักนิสัยของอาตัวเอง
ถ้าอะไรที่ทำให้มันคลั่งได้... ก็คงไม่ธรรมดา
กระนั้น ยังมีบางอย่างที่ชาวีสงสัย
“แน่ใจนะว่าเพื่อนถูกฆ่า” เขาหรี่ตามองหญิงสาวอย่างพิจารณา “ไม่ได้เป็นเพราะเธอเล่นยากับอาของฉันจนหลอนไปเอง”
สาว ๆ ของชินดนัยล้วนเป็นนักเสพ หลายครั้งที่พวกหล่อนกรีดร้อง วิ่งออกมากลางสวน พอให้คนเข้าไปตรวจสอบก็ไม่เจออะไร นอกจากชินดนัยที่คลั่งเพราะยาจนไล่ทำร้ายพวกหล่อน แต่ยังไม่เคยเกิดเหตุฆาตกรรมเลยสักครั้ง
แต่การที่ฝ่ายนั้นตะโกนว่าจะไม่ยอมถูกหักหลัง ก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นเช่นกัน เพราะอย่างนั้นชาวีจึงไม่อาจปล่อยผ่านสถานการณ์ในคืนนี้ไปได้
“หนูไม่ได้เล่นยานะคะ” มารินตอบทันควัน
“เธอควรตอบให้ตรงคำถาม”
“...”
มารินก้มหน้ากลืนเสียงสะอื้น พยายามมองข้ามคำสบประมาทให้ได้ ค่อยช้อนสายตาขึ้นมองเขาอย่างมั่นใจ
“หนูสาบานว่าที่เพื่อนหนูโดนฆ่ามันคือเรื่องจริง”
ชาวีเงียบ สบตาเธอนานพอที่จะทำให้มารินจะรู้สึกว่าโลกทั้งใบกำลังหดเล็กลง ทว่าหญิงสาวไม่หลบสายตา แต่ไหล่กลับเกร็งและเผลอจิกนิ้วมือเข้าหากันอย่างเสียไม่ได้
ตอนนั้น รอยยิ้มที่แตะไม่ถึงดวงตาไล้ขึ้นช้า ๆ แววตาเปล่งประกายมีเลศนัยพาให้มารินขนลุกชัน
“คำสาบานของเธอมีค่าแค่ไหนกันเชียว” ชาวีออกแรงดึงแขนเรียวเข้ามา จนใกล้พอที่จะให้เงาของตนกลืนกินเธอ “พิสูจน์ให้ฉันเห็นสิ ว่าไม่ได้โกหก”
“ยังไงคะ”
“ตามมา” กระตุกทีเดียวร่างเล็กก็เหมือนจะปลิวไปตามทางเดินใต้ต้นฉำฉา ที่เริ่มแคบลงและทอดตรงไปยังโรงเรือนกระจกขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ลึกเข้ามาในสวน
“พาหนูมาที่นี่ทำไมคะ ถ้าคุณไม่ช่วยก็ปล่อยหนูไปเถอะค่ะ” มารินหยุดเท้า สะบัดแขนจากเขาอย่างร้อนรน ชาวีกอดอกมองคนไม่รู้สถานะตัวเองอย่างเยาะหยัน
เธอน่าจะรู้แท้ ๆ ว่าผู้ชายคนนี้ไว้ใจไม่ได้ ที่เขาบอกว่าจะช่วย คงไม่พ้นต้องให้เธอแลกบางอย่าง
“หลอนยาจนไล่ฆ่ากัน ยังมีหน้ามาพูดว่าที่ฉันทำอยู่ไม่ได้ช่วย?”
“...” มาริน
ชาวีโน้มตัวเข้ามาใกล้พอให้ลมหายใจอุ่นปะทะขมับ ดวงตาคมลึกเต็มไปด้วยอันตราย “แต่ถ้าอยากให้ฉันเชื่อ เธอก็ต้องลงทุน...” เขาหยุด ปล่อยเวลาให้เล่นงานจิตใจเธอ “ด้วยทุกอย่างของเธอ”
“คุณชาวี...”
ชั่วชีวิตของมาริน เธอไม่เคยเห็นใครเลือดเย็นเท่าเขามาก่อน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ชาวีก็ต้องการเพียงแค่นั้น ทั้งยังลงมือในคืนที่เธอต้องเจอกับเรื่องที่โหดร้ายที่สุด
“คิดดูสิ ถ้าสิ่งที่เธอพูดมาเป็นความจริง คนที่จะปกป้องเธอได้ก็มีแค่ฉัน ว่าไหม?”
“...”
“ถ้าไม่ใช่ แล้วเธอจะอธิบายได้หรือเปล่าว่าทำไมมันไม่วิ่งตามเธอออกมา”
“ทำไมคุณต้องทำแบบนี้กับหนูด้วยคะ” มารินกัดริมฝีปากจนช้ำ
ชาวียักไหล่ราวกับทุกอย่างไร้ค่า “ถ้าฉันทำลายผู้หญิงแบบเธอได้ ก็ถือเป็นชัยชนะอย่างหนึ่ง”
“คุณทำแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนที่ปฏิเสธคุณสินะคะ”
“ก็ไม่เชิง” เขาปล่อยมือที่กอดอก เอียงตัวเข้ามาจนลมหายใจเป่ารดใบหน้าชื้นเหงื่อ “แต่ถ้ามันจะช่วยให้เธอตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เอางี้ไหม” ดวงตาคมปลายเลื่อนไปที่ข้อมือเธอ ก่อนจะคว้ามันขึ้นมาช้า ๆ แต่แรงจนทำให้มารินหน้าเบ้ “ลองกลับไปหามันอีกสักครั้ง แล้วค่อยมาให้คำตอบฉันก็ได้”
ไม่ทันที่มารินจะพูดสิ่งใด ชาวีก็กระชากเธอให้เดินย้อนกลับทางเดิม หญิงสาวถึงกับขืนตัวสุดกำลัง ร้องไห้เหมือนใกล้เสียสติเต็มที
“อย่านะ ฮือๆๆ อย่ามายุ่งกับหนู หนูจะไปแจ้งตำรวจ ปล่อยหนูไป”
“แจ้งตำรวจเหรอ” ชาวีหยุดลาก ขำกับสิ่งที่เธอพูด “คิดว่าตำรวจจะเข้าข้างเธอเหรอ?”
“บ้านเมืองมีขื่อมีแปค่ะ หนูไม่เชื่อหรอกว่ามันจะไม่มีความยุติธรรมเลย”
“แต่เธออย่าลืมนะว่าตัวเองเป็นใคร แล้วพวกฉันเป็นใคร”
เหมือนถูกใครสาดน้ำเย็นใส่หน้า ความจริงที่ชาวีพูด ตอกย้ำว่าตัวเธอเล็กแค่ไหนในโลกของเขา
ขื่อแปที่เธอหวังพึ่ง เป็นเพียงหมอกบางที่เพียงเขาเอ่ยนามสกุลตัวเองก็จางหายไป
เธอกลัว... จนขาแทบหมดแรง แต่เสี้ยวหนึ่งของหัวใจยังไม่อาจยอมให้ชาวีทำลาย สองมือจึงกำแน่น พยายามขืนตัว ทั้งที่รู้ว่าแรงของตัวเองไม่มีทางสู้เขาได้
“หนูไม่—”
“ลองดูสิ”
“...”
“แล้วคอยดูว่า พวกเราจะทำกับเธอยังไง”
เพราะชาวีย่อมรู้ดีว่า พ่อของเขารักน้องชายอย่างชินดนัยมากแค่ไหน เรื่องสกปรกของมันย่อมลงท้ายด้วยการถูกลบ หมายรวมถึงชีวิตของคนที่เป็น ‘เรื่องสกปรก’ นั่นด้วย
แววตาคมเข้มทอดมองหญิงสาวพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็น “ไม่ใช่แค่เธอหรอกนะ แต่รวมถึงทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเธอด้วย”
ชาวีเห็นมารินเบิกตาจ้องค้าง ความผิดหวังเสียใจชัดเจนจนเขาเป็นสุข แต่ยังไม่พอใจแค่นั้น ชายหนุ่มจงใจปล่อยแขนเล็ก แล้วเดินกลับไปทางเรือนกระจกอย่างไม่ใส่ใจ และไม่รีบร้อน ทิ้งไว้เพียงความกลัวที่กัดกินหัวใจเธออย่างไม่ปรานี กับรอยยิ้มที่ราวกับจะบอกว่า
ถ้าเธอไม่เลือกเขา... เท่ากับตาย
มารินค่อย ๆ ตระหนักว่าตนพัวพันกับสิ่งที่อันตรายเกินจินตนาการโดยไม่มีทั้งอำนาจ ความกล้า เงินทอง หรือแม้แต่หลักฐานที่จะพิสูจน์ความจริงด้วยซ้ำ จะให้กลับไปบ้านหลังนั้นก็เท่ากับฆ่าตัวตาย
ยิ่งเธอหนีความจริงสักแค่ไหน... ก็ยิ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า เธอไม่มีสิ่งใดเหลืออีกแล้วนอกจากตัวเอง
“คุณชาวี”
“...” ชายหนุ่มชะงักเมื่อถูกเธอเรียกไว้ ก่อนหันมายิ้มน่ากลัวให้
“หนูขอแค่ให้หนูกับคนรอบข้างได้ใช้ชีวิตต่อไปอย่างปลอดภัย คุณให้หนูได้หรือเปล่าคะ”
เขาไม่ตอบ สองขาก้าวยาว ๆ เข้ามาจนมารินถูกกลืนในเงา มือหนาตวัดเอวเธอแล้วช้อนขึ้นจากพื้น มารินสะดุ้ง ขาไร้หลักจนต้องยึดไหล่เขาไว้ สัมผัสแข็งแกร่งที่รัดแน่นตอกย้ำว่าทางเลือกของเธอ... ได้จบลงแล้ว
ฝนเทกระหน่ำมากระทบหลังคากระจกเสียงดังเป็นจังหวะในตอนที่มารินถูกอุ้มเข้ามาในเรือนกระจก
โต๊ะเพาะชำขนาดใหญ่วางอยู่ตามแนวยาวของโรงเรือน มันเต็มไปด้วยถุงดิน กระถาง และขวดแก้วใส่น้ำ โดยมีแถวต้นไม้สูงเรียงขนานทั้งสองข้าง
มองออกไปภายนอกเห็นน้ำฝนไหลตามร่องกระจกเป็นสายยาว แสงไฟสีวอร์มไวท์จากโคมที่ห้อยแซมกับไม้ดอกตามคานเหล็กสาดเงานุ่มนวลไปทั่วโรงเรือน อากาศอุ่นชื้นภายในนี้ลอยขึ้น มารินสัมผัสได้ถึงกลิ่นดินและความหอมของดอกไม้ที่ผสมกันจนหายใจติดขัด
มีกลิ่นสีจาง ๆ และกลิ่นสนิมปะปนอยู่ในอากาศ คงมาจากด้านในสุดที่แยกตัวจากโซนอื่นด้วยฉากกระจก ตรงนั้นมีเก้าอี้ไม้เล็ก ๆ กับเฟรมผ้าใบที่ถูกสาดด้วยสีแดงคล้ำ
พู่กัน แก้วน้ำ และถุงพลาติกใสหน้าตาประหลาด แต่คุ้นตาของมารินอย่างบอกไม่ถูกกระจัดกระจายอยู่ใกล้กัน ไม่ห่างจากตรงนั้นคือหน้าต่างกระจกบานใหญ่ ที่มองออกไปก็เห็นสวนด้านนอก ทว่าตอนนี้ถูกฝนชะจนพร่า
ชาวีผ่อนสะโพกกลมกลึงของเธอลงกับขอบโต๊ะเพาะชำ รั้งเอวคอดเอาไว้ไม่ให้เธอขยับหนีไปไหน สะโพกสอบพยายามแทรกเข้ามาระหว่างกลางของสองขาเรียว เนื้อตัวของเราชื้นเล็กน้อยจากหยาดฝน แต่เหมือนไอร้อนจากผิวกายเขากำลังแผดเผามันอยู่
หัวใจมารินกระแทกแรงจนน่ากลัว ภาพความตายของเมริษาฉายวนอยู่ในความทรงจำจนต้องกัดริมปากด้านในข่มความสั่นไหวนั้นไว้ไม่ให้มันพังทลายลงตรงหน้า
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงจนปลายจมูกเฉียดขมับของเธอ ลมหายใจร้อนวูบกระทบข้างแก้มทำเอาผิวมารินสั่นสะท้าน หญิงสาวหลับตาพริ้ม น้ำใส ๆ ชุ่มขนตางอน ทุกสัมผัสของเขาย้ำเตือนภาพที่ชินดนัยแตะต้องเมริษา พาให้มารินต้องกลั้นหายใจ ในขณะที่เขากลับปล่อยลมหายใจยาวราวกับอดกลั้นมานาน ก่อนปลายนิ้วแกร่งจะเลื่อนขึ้นประคองกรอบหน้าบอบบาง ไล้ไปตามแนวกรามช้า ๆ อย่างจงใจ
“รู้ตัวบ้างไหม... ว่าฉันรอวินาทีนี้มานานแค่ไหน” เสียงแหบต่ำข้างหูแผ่วลงเหมือนจะหลอมละลายความแข็งขืนที่เธอเหลืออยู่ และแม้ส่วนลึกกำลังปริร้าวจากเหตุการณ์ที่เพิ่งพบเจอ แต่แรงกดจากอ้อมแขนหนักกลับทำให้เธอหายใจไม่ออกด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่อาจปฏิเสธ
ริมฝีปากหยักแนบข้างแก้มอย่างแผ่วเบา ตามด้วยแรงกดหนักขึ้นทีละนิด... ทีละนิด ไล้ต่ำลงมาตามแนวกรามจนถึงมุมปาก ขณะเดียวกัน มืออีกข้างเลื่อนจากเอวขึ้นสอดผ่านแนวโค้งของแผ่นหลัง กดให้ร่างเธอแนบแน่นเข้ากับความแข็งกร้าวของตัวเขา
มารินกลั้นเสียงสะอื้น เรียวปากสวยเม้มจนแน่นตอนที่ปลายนิ้วไล้ผ่านต้นคอขาวเนียน อยากร้องบอกเขาให้หยุด
แต่เธอกลัว... กลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ และอาจเลยเถิดไปจนถึงลากเธอกลับไปให้ชินดนัย
ความกลัวอันท่วมท้นแสดงออกมาชัดเจนเสียจนจังหวะของชาวีสะดุดเล็กน้อย เขาจึงกระซิบเบา ๆ ชิดปลายจมูกของเธอ
“อย่าเกร็ง”
เสียงนั้นแผ่วต่ำ แต่อบอุ่นพอจะทำให้หัวใจที่เต้นกระหน่ำสะดุดวูบ
เมื่อรับรู้ว่าเธอสงบลงแล้ว ชายหนุ่มก็จู่โจมต่อ เขาแลบลิ้นเลียตามพวงแก้ม กรอบหน้า เรื่อยลงไปหยุดที่ต้นคอ ตามด้วยเสียงปากของเขาที่ดูดดึงผิวเนื้อตรงรอยบุ๋มเหนือกระดูกไหปลาร้าสลับกับพรมจูบแผ่วเบา เสียงสูดลมหายใจของเขาดังระงมคล้ายปรารถนาจารจำทุกกลิ่นอายของเธอไว้
มารินปิดเปลือกตาลงช้า ๆ เสียงฝนที่เคยดังกึกก้องกลับเลือนหาย เหลือเพียงจังหวะหายใจของชาวีที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เส้นประสาททุกเส้นเหมือนถูกดึงตึง จนเสียงครางหลุดออกมาก่อนจะทันห้าม พลันความรู้สึกบางอย่างก็ร้องประท้วงอยู่ในใจ
ว่าไม่... เธอไม่ควรรู้สึกดีขนาดนี้
ทว่าร่างกายกลับตอบสนองตรงข้ามกับมัน
“...กลิ่นของเธอ” ชาวีพึมพำเหมือนร่ายคำสาป คละเคล้ากับเสียงครางแหบพร่าที่ปล่อยออกมา ทั้งที่เขาไม่เคยจำเรื่องไม่สำคัญ แต่กลิ่นของมารินยังตราตรึงอยู่ในความรู้สึก และในที่สุดเขาก็ได้ครอบครองมันเสียที
แต่ก่อนที่มันจะดำเนินต่อไป มารินจำต้องได้ฟังบางคำจากปากเขาให้ได้ “คุณชาวี”
“...”
ชาวีไม่ขานรับ เพียงกลืนความสั่นพร่าลงไปในลำคอขณะก้มลงซุกไซ้เนินถันนุ่มละมุน หากจนแล้วจนรอดก็ยอมให้มารินประคองใบหน้าขึ้นไป เขาสบกับดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอคู่นั้น นิ่งงัน เฝ้าคอยถ้อยคำของเธอ
“คุณจะปกป้องหนูใช่ไหมคะ”
มุมปากลึกโค้งขึ้น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคนที่รอคำตอบด้วยความหวั่นใจอยู่ตรงหน้า ก่อนจะฉกวูบเข้าไปบดเคล้าเรียวปากสั่นระริกอย่างไม่เปิดช่องให้เธอหลบหนี มือหนึ่งผละออกจากเอวคอดแล้วกวาดสิ่งของโบนโต๊ะให้พ้นทางแล้วใช้แผ่นอกดันร่างเล็กของมารินให้นอนลงไป
มารินใจสั่น ไม่มีคำที่อยากฟังหลุดออกมา
มีเพียงการกระทำที่ย้ำเตือนว่า... เธอเปลี่ยนใจไม่ได้อีกแล้ว
ความเย็นจากผิวโต๊ะด้านหลังสวนทางกับความร้อนที่แผ่จากตัวเขา กลิ่นเฉพาะตัวผสมกลิ่นฝนรุนแรงเสียจนสติของเธอจวนจะเลือนหาย จูบของเขารุนแรงและหนักแน่น ตอกตรึงเธอไว้ในพันธนาการที่จะไม่มีวันคลาย
มือร้ายกาจกระตุกสายเดี่ยวสลิปเดรสสีไวน์แดงเพียงครั้งเดียว มันก็หลุดออกจากไหล่มน ก่อนสอดเข้ามาระหว่างกายของเราแล้วลูบไล้ปทุมถันเต่งตึงโดยไม่คิดจะคลายจูบให้หญิงสาวได้พักหายใจ
ความรู้สึกแปลกใหม่ผลักดันให้คนไร้ประสบการณ์ต่อต้านเล็กน้อย หากเพียงครู่ก็โอนอ่อนด้วยการเล้าโลมอย่างช่ำชอง
และในชั่วขณะหนึ่ง ความเสียวซ่านจนสะท้านก็ลบรอยจำของภาพชินดนัย รวมถึงเงาดำของใครอีกคนออกไปจากใจเธอได้ ยิ่งเมื่อเขาบดบี้เม็ดทับทิมกลางเต้างามสลับกับนวดคลึงอย่างเท่าเทียมกันทั้งสองข้าง ความรู้เนื้อรู้ตัวของมารินก็ขาดกระเจิง เหลือเพียงสัมผัสหนักหน่วงเร่าร้อนจากมือคู่นั้นที่ยังชัดเจน
ลมหายใจขาดห้วง เสียงห้ามยังตะโกนในหัว ปะปนกับความคิดที่ว่าควรหยุด หรือปล่อยให้มันเป็นไป กระทั่งมีบางอย่างเสียดแทงจากกลางกายขึ้นมาตามลำคอ พร้อมอาการปวดหน่วงตรงกึ่งกลางความเป็นสาว
มารินต้องเกร็งต้นขาสะกดกลั้นอารมณ์ซ่านเสียวไว้ ขณะที่มือของเขาที่เคยปรนเปรอทรวงอกหยุ่นเลื่อนไล้ลงมา เคล้นคลึงที่ต้นขา ลากสัมผัสร้อน ๆ ไปที่ปลายเข่า แล้วสอดเข้ามาใต้เนื้อไหมซาติน
‘ส่วนนั้น’ ของเธอมันปวดชาไปหมดยามที่เขาค่อย ๆ ไล้เข้ามาตามเรียวขา และสะดุ้งเฮือกตอนปลายนิ้วแกร่งลากผ่านรอยแยกซึ่งเริ่มชื้นแฉะ ครานี้ หญิงสาวคล้ายว่าจะหายใจไม่ออกขึ้นมาจริง ๆ จึงออกแรงผลักแผ่นอกของเขาเบา ๆ
“ฮึก...”
ปากสวยที่ฉ่ำวาวจากการจูบเผยอเอาอากาศเข้าไป กระบังลมยกขึ้นลงถี่รัวจนทรวงสล้างกระเพื่อมไหว ชาวีแลบลิ้นออกมากักเรียวปากด้านล่าง และทนมองภาพเย้ายวนนั้นได้เพียงเสี้ยวนาทีก็กดไหล่ให้มารินแนบลงไปกับโต๊ะอีกครั้ง เพื่อที่เขา... จะได้ฉกใบหน้าลงไปดูดดึงเม็ดไตที่ทั้งแข็งและชูชัน แต่มือข้างนั้นยังเสียดสีกลางกลีบผกาอย่างหนักเน้น
“ซี้ด...”
มารินสูดปากจนเกิดเสียงเซ็กซี่ ลมหายใจตัวเองร้อนผ่าวเหมือนมีใครเผาไฟอยู่ในอก สัมผัสเนียนนุ่มแต่ไม่ผ่อนปรนของปลายลิ้นที่กักตุ่มไตของเธอไว้ในปาก กำลังกระชากสติของมารินให้ขาดผึง สมองมึนเบลอไปหมด หากยังพยายามรั้งข้อมือใหญ่ที่กำลังเร่งเร้าความรู้สึกตรงกลีบสาว ‘มากไป’ ทว่ายิ่งรั้งเขาก็ยิ่งไม่ฟัง
“คุณชาวี อึก! อย่า หนู... หนู... ฮื่อ”
เธอพยายามร้องห้าม อนึ่งก็เป็นการบอกตัวเองให้หยุด
แต่เสียงห้ามกลับจมหายไปพร้อมแรงจูบดูดจากปากของเขาที่ลึกขึ้นเรื่อย ๆ กอปรกับความเสียดสีที่รัวเร็วจนเหมือนบีบบังคับให้เธอจดจ่อเพียงแค่ความรู้สึกที่แล่นพล่านไปทั่วกาย
ความสั่นสะท้านกลายเป็นแรงปรารถนาที่มารินไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป สติถูกกลืนไปทีละน้อย จนเหลือเพียงความกระสันที่กัดกินใจอย่างช้า ๆ
“อ๊าส์”
ร่างน้อยแอ่นหยัด เสียงครางแหบพร่า ในจังหวะที่บางอย่างระเบิดโพลงภายใต้การเคลื่อนไหวของนิ้วแกร่งตรงหว่างขา พาให้รู้สึกว่ามีหัวใจอีกดวงเต้นตุบ ๆ อยู่ตรงนั้น
ทว่า... แม้เสียงครางจะหลุดออกมา แต่น้ำตาร้อนจัดกลับไหลลงข้างขมับอย่างเงียบงัน
