บทที่ 5 บทที่ 5
“เป็นห่วงกันมากก็ออกไปปลอบใจกันนอกไร่ของฉัน อย่ามาทำอะไรเกะกะขวางตาตรงนี้”
“พ่อเลี้ยงฟังคุณหนูหน่อยสิครับ ผมกับคุณหนูไม่ได้คิดอะไรอย่างที่พ่อเลี้ยงเข้าใจ แต่ถ้าจะอธิบายก็แล้ว พ่อเลี้ยงยังคงคิดแบบเดิม ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่อยากจะบอกว่าถ้าพ่อเลี้ยงเป็นแบบนี้ต่อไป พ่อเลี้ยงนั่นแหละที่จะเสียใจไปตลอดชีวิต”
วีกิจประคองและรุนหลังพลับพลึงเดินหนีดรัณ เขาเป็นผู้ชายเห็นผู้ชายทำกับผู้หญิงแบบนี้ก็ทนไม่ไหว จะให้ยืนดูเฉยก็ทำไม่ได้ การทำแบบนี้เสี่ยงกับการถูกไล่ออก แล้ววีกิจก็เลือกทำโดยหวังว่าการกระทำของตนจะทำให้พ่อเลี้ยงหนุ่มได้สติยั้งคิดให้บ้าง
พลับพลึงถอนสะอื้นเมื่อเดินพ้นคนใจร้ายออกมา เธอกับวีกิจขึ้นรถ ATV ที่เป็นพาหนะใช้เดินทางภายในไร่อิงฟ้าของเขา หญิงสาวไม่วายจะหันไปมองคนใจร้ายเห็นเขายืนหันหลังนิ่งๆ ก็สะอื้นฮัก
“ผมบอกแล้วไงครับ ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่”
“พี่กิจยังบอกไม่หมด” สาวน้อยเถียง เธอร้องไห้แต่ก็ยังเถียงเขาได้ ชายหนุ่มแค่นยิ้ม
“อะไรที่พ่อเลี้ยงไม่ชอบ คุณหนูไม่ควรทำ”
“อารัณเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน พลับไม่เข้าใจเขาเลย ทำไมเขาต้องทำขนาดนี้ด้วย”
“บางทีความเจ็บปวดที่เราเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ยิ่งใหญ่มากสำหรับคนบางคนนะครับ พ่อเลี้ยงเป็นคนที่เจ็บแล้วจำ จำแล้วกลัวไม่อยากเข้าใกล้ ก็เลยสร้างปราการหนาป้องกันการซ้ำรอยเดิม คุณอิงฟ้าเป็นรอยบาปในใจของพ่อเลี้ยง เขาลืมเธอไม่ได้ง่ายๆ หรอกครับ”
“แต่อารัณก็น่าจะมีสติกว่านี้นะคะ พลับเป็นคนที่สนิทกับเขามากที่สุดเลยนะเมื่อก่อนนี้” พลับพลึงแย้ง
“ผมรู้ครับ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว พ่อเลี้ยงไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนดีเลยตั้งแต่คุณอิงฟ้าจากไป”
“พลับไม่เข้าใจ ทำไมล่ะคะ”
วีกิจถึงกับถอนใจยาว ก่อนจะนึกถึงอดีต ภาพความหวานของดรัณและอิงฟ้าเกิดขึ้นในหัว เขาและทุกคนในไร่ไม่มีใครลืมมันลงได้ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนหรือแม้ดรัณจะพยายามเปลี่ยนความดีให้เป็นความชั่วร้าย ภาพๆ นั้นก็ยังตรึงอยู่ในความทรงจำของทุกคนตลอดไป
...แล้วชายหนุ่มก็เล่าทุกอย่างให้หญิงสาวฟัง...
ภายในห้องนอนใหญ่ที่ตกแต่งด้วยโทนสีน้ำทะเลตัดสีขาว เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นก็มีสีเข้าชุดกัน การตกแต่งทุกอย่างเป็นไปตามความชอบของเจ้าของแต่ไม่ใช่คนตัวสูงแข็งแกร่งไปทุกส่วนที่กำลังยืนนิ่งอยู่กลางห้อง พ่อเลี้ยงดรัณมองทุกสิ่งที่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ในห้องค่อนข้างอับชื้นเพราะไม่ได้รับการทำความสะอาดหรือแม้จะเปิดหน้าต่างระบายอากาศก็ไม่เคย ทุกอย่างยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำ
กรอบรูปที่วางอยู่บนชั้นหนังสือเตี้ยๆ ถูกมือใหญ่หยิบขึ้นมาปัดฝุ่นบนกระจกออก รูปนั้นเป็นรูปของเขากับผู้หญิงหน้าหวานหยดเหมือนอัญมณีล้ำค่า สวยและเปราะบางน่าทะนุถนอม รอยยิ้มของเธอหวานเยิ้มจนคนมองอยู่กระตุกมุมปากยิ้มเสียทุกครั้งร่ำไป ก่อนดวงตาคมเข้มจะรื้นพร่ามัวจนต้องกลืนก้อนความเจ็บช้ำที่ตีตื้นขึ้นมาอยู่ตรงลำคอ
ดรัณวางกรอบรูปลงเพราะไม่อยากเปิดประตูต้อนรับความเจ็บปวดที่ยังคงแทรกแซงเข้ามาเป็นบ่อนทำลายความดีในหัวใจเสียทุกครั้ง เขาระฝ่ามือไปตามขอบชั้นตั้งแต่ริมด้านหนึ่งไปจนถึงอีกด้านหนึ่ง และที่ตรงนั้นเองมือของเขาก็หยุดนิ่ง
กรอบรูปเล็กๆ ของใครบางคนที่กำลังยิ้มแป้นจนเห็นฟันครบ 32 ซี่ สาวน้อยหน้าตาน่ารักค่อนข้างสะดุดตาแต่แก่นแก้วสดใส พลับพลึงเมื่อ 6 ปีก่อน เธอเพิ่งจะทำบัตรประชาชนเป็นครั้งแรก รูปนี้เธอถ่ายตอนที่กลับมาจากที่ว่าการอำเภอแล้วสั่งให้เขาถ่ายรูปเธอหลังจากที่เธอถ่ายรูปเขากับอิงฟ้าให้แล้ว
‘ทีนี้ตาอารัณต้องถ่ายรูปให้พลับบ้างแล้วล่ะ พลับถ่ายรูปคู่อารัณกับอาอิงให้แล้ว แลกกันไง’
‘อายังไม่ได้รับปากซะหน่อยว่าจะถ่ายให้’
‘ขี้โกง ทีพลับยังถ่ายรูปให้อารัณโดยไม่มีข้อแม้ แบบนี้เรียกว่าผู้ใหญ่รังแกเด็กใช่มั้ยล่ะ’
‘รังแกตรงไหน อาบังคับให้พลับถ่ายหรือก็เปล่า’
‘อ๋อ...พูดแบบนี้ก็สวยสิ คิดจะเป็นศัตรูกันใช่มั้ย’
เด็กสาวพลับพลึงถลกแขนเสื้อขึ้นแบบนักเลง คิดจะเอาเรื่องเขาเต็มที่ อารัณก็ยังตีหน้าเป็นทองไม่รู้ร้อนทั้งที่ใจหัวเราะลั่นกับท่าทางรวนๆ ของเธอ กระทั่งคนกลางอย่างอิงฟ้าต้องเข้ามาห้ามทัพ
‘อะไรกันสองคนนี่ เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ตีกัน รัณก็เหอะ ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้ แค่หลานขอให้ถ่ายรูปให้หน่อยแค่นี้มีปัญหาหรือคะ พลับจ๋า เดี๋ยวอาอิงถ่ายให้เองแล้วกันนะ’
‘ไม่ต้องหรอกจ้ะ ผมก็แค่แกล้งยัยพลับเล่นเฉยๆ เรารักกันจะตายไป เนอะพลับเนอะ’
เด็กหญิงพลับพลึงถูกดึงไปกอดแล้วยังหอมแก้มอิ่มแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาดหน้าตาเฉย คนหอมก็ไม่คิดอะไรมากไปกว่าเอ็นดู สวนคนถูกหอมก็หน้าเหยเกแล้วผลักคนตัวโตสุดแรง
‘โอ๊ย!! อารัณไม่อยากถ่ายรูปให้พลับ แล้วยังจะมาขโมยหอมแก้มพลับอีกเหรอ อาอิงเอาอารัณคืนไป อารัณจะหอมแก้มอาอิงคนเดียวเท่านั้น ยี้!!! คนจมูกเหม็น’
ภาพความหลังครั้งเก่าดรัณไม่เคยลืม ยังจำได้เลยว่ากว่าเขาจะจับพลับพลึงมาถ่ายรูปได้ก็เล่นเอาเหงื่อตก ยัยเด็กจอมยวนนี่ถึงขนาดปีนต้นไม้ซุ่มอยู่ ถ้ากิ่งไม้นั่นไม่ลั่นเปรี๊ยะจนคนตัวเล็กเผลอปล่อยมือแล้วตกลงมาใส่ร่างเขาจังๆ เขาก็คงยังตามหาเจ้าหล่อนให้วุ่น
ริมฝีปากหยักหนาใต้หนวดเรียวเกือบจะยิ้มแต่แล้วมันก็จางหายเป็นขบเม้มกันไว้ดุจเดิม ดรัณเดินออกมาจากตรงนั้น ตรงไปยังเปลเด็กแบบที่มีรั้วแล้วมุ้งกันยุง เปลสีชมพูเพราะเด็กทารกเป็นเพศหญิง ปลายจมูกของชายหนุ่มแดงระเรื่ออย่างไม่อาจระงับความทุกข์ระทมที่ตีตื้นขึ้นมาอีกระลอก ห้องนี้รวบรวมความทรงจำที่มีทั้งสุขและทุกข์มากมาย ทุกครั้งที่เข้ามาเขาก็จะดึงเอาความรู้สึกทุกข์กลับออกไปด้วย เหมือนในตอนนี้
