บทที่ 3 3
บุษบาบัณถอนหายใจคิดไว้แล้วว่าต้องถูกถาม “คุณหญิงบังคับให้ฉันนำมาสวมใส่ในวันงานค่ะ เสร็จพิธีฉันจะรีบส่งคืนคุณหญิงท่านทันทีค่ะ”
รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากด้านซ้าย “ดีมากที่ไม่คิดทึกทักเอาเป็นของตัวเอง เพราะที่ผมให้คุณไปมันก็มากพอแล้วอย่าหลงดีใจว่าได้เป็นสะใภ้โปรดของท่านจริง ๆ ล่ะ เพราะนี่มันก็แค่งานแต่งงานกำมะลอคุณมันก็แค่เมียบังหน้า เมียกำมะลอ เมียชั่วคราวเข้าใจตรงกันนะ”
เขากระซิบกรอกหูเธอเป็นระยะ ถึงเขาไม่บอกเธอก็จำได้แม่น แต่เขากลับวางท่าทางแนบเนียน สายตาและรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากดูมีเสน่ห์ไม่เขอะเขินราวกับว่าเขาเป็นเจ้าบ่าวแสนดีที่กำลังคุยหยอกเอินกับเธอทั้งที่แต่ละคำที่พูดมาเป็นการบีบบังคับให้เธอรู้จักสถานะของตัวเอง การแต่งงานครั้งนี้จึงเป็นแค่แสดง เสแสร้ง แทบทั้งสิ้นและมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน
“เข้าใจดีค่ะ ฉันมีความเป็นมืออาชีพพอ และระลึกอยู่เสมอทุกลมหายใจว่านี่คืองาน และงานของฉันก็คือทำให้คนในครอบครัวของคุณคิดว่าเรารักกันจริง ๆ จบไหมคะ” เธอแอบเหวี่ยงค้อนใส่เขาไปทีหนึ่ง
“ดีมาก ที่ไม่ลืมว่าเราแต่งงานกันเพราะอะไร” เขากระแทกเสียงใส่เบา ๆ ในขณะที่มุมปากยังมีรอยยิ้มปรากฏนอกจากเขาจะเป็นผู้บริหารที่เก่งและมีวิสัยทัศน์กว้างไกลเธอคิดว่าถ้าเป็นนักแสดงเขาคงรุ่งไม่เบา
“ไม่ลืมค่ะ ไม่เคยลืมสักวินาที” เจ้าสาวแสนสวยในชุดแต่งงานงดงามยกมือไปวางทาบบนมือที่หนากว่ามากซึ่งเอื้อมมาวางแหมะอยู่ที่สะโพกของเธอไม่รู้เมื่อไหร่
“คุณเองก็ด้วย อย่าลืมบอกตัวเองนะคะว่าดิฉันเป็นแค่ภรรยากำมะลอของคุณ ถ้าเข้าใจตรงกันแล้วล่ะก็คุณก็ช่วยเอามือของคุณออกจากสะโพกของดิฉันที ดิฉันยังไม่ชินและเราไม่จำเป็นต้องใกล้ชิดกันขนาดนี้ก็ได้”
ชลลัมพีจึงรีบเอามือออกทันที “อย่าคิดว่าผมพิศวาสในตัวคุณนะป้าเลขา ที่ผมทำไปเพราะอยากให้คนในงานเห็นว่าเราดูสนิทสนมสมเป็นคู่จิ้นคู่รักกันคุณก็รู้ว่ามีหลายคนสงสัยรวมถึงคุณแม่ผม และท่านก็มีหูมีตามากมายคอยจับตาดูเราอยู่ ผมเลยต้องจับนิดจับหน่อยจะได้แนบเนียนไงคนในงานเขาจะได้ไม่สงสัย ถ้าเป็นมืออาชีพจริงเรื่องแค่นี้ก็อย่าได้คิดมากสิครับคุณป้าบุษ”
ก็แน่ล่ะสิเป็นใครบ้างจะไม่สงสัยเมื่อวันดีคืนดีชลลัมพีคาสโนว่าอันดับต้น ๆ ของเมืองไทยผู้เพียบพร้อมไปด้วยเงินทอง เกียรติและความสามารถอย่างเขาประกาศสายฟ้าแลบว่าคบหาดูใจกับเลขาหน้าห้องมานานหลายปีทั้งที่มีข่าวควงดาราคนนั้นคนนี้ อีกทั้งนางแบบที่แอบเลี้ยงไว้ ข่าวคาวของเขามีให้เพียบออกมาอยู่ตลอดเวลาและจู่ ๆ ประกาศลั่นระฆังวิวาห์อย่างเร่งด่วนมันเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนควรจะสนใจไม่ใช่หรือ
แขกเหรื่อภายในงาน รวมทั้งนักข่าวแทบทุกสำนักพิมพ์เดินกันให้ขวักไขว่บนพื้นที่ของโรงแรมหรูใจกลางกรุงเทพฯ ที่คุณหญิงชลัมพรผู้เป็นมารดาคัดเลือกให้เป็นสถานที่แต่งงานของบ่าวสาวในวันนี้
“เมื่อไหร่จะเริ่มรดน้ำสังข์ให้เสร็จ ๆ ไปสักทีผมเมื่อยจะแย่อยู่แล้ว”
บุษบาบัณมองไปที่ผนังซึ่งมีนาฬิกาทรงกลมสีทองติดอยู่“เก้าโมงเก้านาทีค่ะฤกษ์รดน้ำของเราทนอีกนิดนะคะ ฉันรู้ว่าคุณเบื่อแต่คงไม่ขนาดเฉาตายหรอก” บุษบาบัณหันไปตอกกลับด้วยความหมั่นไส้ จึงเห็นสีหน้าที่ปั้นยากของเขาพร้อมสายตาคาดโทษ
“ผมอยากให้มันเสร็จ ๆ ตั้งแต่นาทีนี้ งานแต่งงานมันน่าเบื่อจะตายไปไม่เข้าใจทำไมคนถึงดิ้นรนอยากจะผูกมัดตัวเองกันนักคุณว่าจริงไหม”
“ก็ไม่ทราบสิคะ”จะมีใครหนอต้องมานั่งทนฟังเจ้าบ่าวของตนเองบ่นเบื่องานแต่งงาน บุษบาบัณพยายามให้กำลังใจตัวเองว่าอย่าได้คิดน้อยใจเพราะนี่คืองานเท่านั้น
“ทนเอาหน่อยเถอะค่ะคุณพี ไม่เกินสิบเอ็ดโมงพิธีเช้าคงจะเสร็จเรียบร้อย แล้วจากนั้นคุณก็จะได้ไปพัก ส่วนพิธีฉลองมงคลสมรสเริ่มตั้งแต่ หกโมงเย็นไปจนถึงสี่ทุ่ม”
“จะบ้าตายนี่ผมต้องทนเมื่อยทนแสร้งฉีกยิ้มไปจนถึงสี่ทุ่มเชียวเหรอคุณป้า คืนนี้สงสัยผมคงต้องไปให้ริต้านวดให้เสียหน่อย”
ดวงหน้าหวานมุ่นคิ้ว “ฉันว่าคืนนี้คงไม่เหมาะนะคะ เพราะคืนนี้คุณต้องเข้าห้องหอ ตามประเพณีไทยเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวต้องอยู่ในห้องหอด้วยกันตลอดคืนห้ามออกจากห้องจนกระทั่งเช้า” เธอเชื่อว่าเขารู้ดีอายุจะเข้าเลขสี่แล้ว แม้ใบหน้าหล่อเหลาของชลลัมพีมักทำให้ใครต่อใครคิดว่าอายุเขาไม่น่าจะเกินสามสิบสองปีก็ตาม
“นั่นเป็นเรื่องบ้าที่สุด นี่คุณไม่ต้องเล่นตามบทตลอดเวลาก็ได้เรื่องบนเตียงไม่ต้องน้องริต้าเขาทำอยู่แล้ว จำไม่ได้หรือไง อีกอย่างคุณไม่พูดผมไม่พูดใครจะรู้ล่ะว่าเจ้าบ่าวของคุณไม่ได้อยู่ในห้องหอตลอดทั้งคืน ยกเว้นว่าคุณป้าจะมีแผนการจะจับผมเป็นสามี”
“คนบ้า! พูดเองเออเอง”
ดูเอาเถอะถึงมันเป็นการแต่งงานจอมปลอมก็เถอะนะ แต่คืนส่งตัวเจ้าบ่าว เขาก็คิดจะชิ่งหนีเจ้าสาวไปหาผู้หญิงอื่นมันน่าอดสูนัก ไม่ใช่ว่าเธออยากเข้าห้องหอกับเขาหรอกนะก็รู้อยู่แก่ใจที่ทำไปทั้งหมดก็คืองานก็เพื่อเงิน แต่ถ้าเขาหายไปจากห้องหอและมีคนเห็นเอาไปบอกคุณหญิงชลัมพรเธอจะต้องเหนื่อยในการหาข้อแก้ตัวให้เขาอีกสักแค่ไหน
“แล้วถ้าคุณหญิงทราบเรื่องว่าคุณพีหนีจากห้องหอล่ะคะคุณพีมีแผนรองรับมือเรื่องนี้หรือยัง”
