บทที่ 6 น้องสะใภ้ห้า
อันที่จริงซ่างเป่าเหลียนไม่พอใจเป็นอย่างมาก นางอยากตอบโต้เขา แต่เลือกอดทนเข้าไว้ ตัวนางย่อมรู้แล้วว่า หมาบ้าที่ชอบเห่า และแยกเขี้ยวข่มขู่ หากเราไม่เต้นตกใจตาม มันคงคลั่งแค้นจนกระอักเลือดตายไปเอง
พอตงเยี่ยหรงไม่เห็นว่าสตรีที่เขาหลับนอนด้วย กล่าวคำใด เขาก็สั่งให้รถม้าออกเดินทาง และขี่ม้าจากไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด
เมื่อซ่างเป่าเหลียนรับกระเป๋าเครื่องมือแพทน์มา นางก็เปิดดู และพบว่า มันไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป เพราะด้านในเสมือนเป็นลิ้นชักที่เปิดออกแล้วมีของที่ต้องการใช้สอยมากมาย ยามนี้จึงประหนึ่งว่านางได้กลายเป็นหมอเทวาในโลกคู่ขนาน
หวังตันเป็นว่าซ่างเป่าเหลียนเงียบไป จึงฉุดแขนเรียกสติอีกหน
“ข้ารอดตายมาได้หนหนึ่งแล้ว ชีวิตหลังจากนี้ หากพอยื่นมือช่วยผู้อื่นได้ ก็คงเป็นการสร้างความดีให้ตนเอง และผู้ที่อยู่ใกล้ชิด”
“เสี่ยงอันตรายเกินไปหรือไม่ ข้าคิดว่า คงไม่มีใครอยากให้สตรีแปลกหน้ายื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องผู้อื่นเป็นแน่แท้”
หวังตันเตือนอีกหน
“แม่บ้านหวัง ที่นี่อยู่ห่างไกลเมือง หมอก็คงหายากสักหน่อย ตัวข้าอย่างน้อยที่สุด ก็รู้เรื่องยา และสมุนไพร ดังนั้นหากได้ต่อลมหายใจให้คนได้ ข้าก็จะไม่รอช้า”
“ของสิ่งนั้น ท่านต้องการใช้มันหรือไม่”
“ใช่ ช่วยส่งเสริมให้ข้าได้เป็นหมอเทวดาเถิดแม่บ้านหวัง”
ซ่างเป่าเหลียนเอ่ยอย่างนั้นแล้ว หวังตันก็รู้หน้าที่ตน นางเบี่ยงตันเพื่อไปยังรถม้า เพื่อนนำกระเป๋าที่ดูเหมือนสิ่งอัปมงคล และดูอัปลักษณ์สักหน่อยมาให้ซ่างเป่าเหลียน
ค่ายทหารตระกูลตง ณ เมืองเหนี่ยว
หูซีเกอผู้ติดตามของแม่ทัพวางสีหน้ายุ่งยากใจ ตั้งแต่สตรีแซ่ซ่างผู้นั้นเดินทางออกจากค่ายทหาร ใครก็เข้าหน้าตงเยี่ยหรงไม่ติด ยามนี้มีของฝากมาจากจวนแม่ทัพส่งมาหนึ่งรถม้าคันใหญ่ ทว่าเขาไม่สนใจดูสักอย่าง แม้แต่จดหมายจากม่ายเนี่ยเฟิงผู้เป็นมารดา เขาก็เพิกเชย เช่นนี้ผู้ติดตามอีกฝ่าย และคอยไกล่เกลี่ยทุกอย่างที่ชื่อ หูซีเกอ พลอยหายใจไม่สะดวก
“ไม่ใช่ของฝาก ไม่ใช่จดหมาย แต่เป็นคุณชายสี่... ป่านนี้แล้วยังมาไม่ถึง ค่ายทหารอีกหรือ”
หูซีเกอลมแทบจับ อีกครึ่งชั่วยามก็จะเป็นเวลาที่นัดหมายไว้ ตงเยี่ยหรงต้องการพบเจี้ยนจงอย่างเร่งด่วนที่สุด ฝ่ายนั้นกำลังศึกษากลไกลอยู่ที่สำนักศึกษา ห่างออกไปเพียงแค่ห้าสิบลี้ แต่บทจะตามตัวยาก ก็แทบเรียกว่าต้องพลิกแผ่นดิน
ยามนี้เขาให้ทหารหน่วยพิเศษไปเชิญตัวมา ทว่าคนอย่างเจี้ยนจงกลับเห็นว่าเป็นเรื่องสนุก
หูซีเกอร้อนใจอยู่จนอกแทบระเบิด กระทั่งคนผู้นั้น นั่งรถม้ามาถึงค่ายทหาร เขาก็ยิ้มกว้างรีบออกไปต้อนรับ
“คุณชายสี่... บ่าวนึกว่าวันนี้ชะตาจะขาดเสียแล้ว เหตุใดท่านถึงไม่รักษาเวลาสักนิด”
เจี้ยนจงมองหูซีเกอ ให้ตายเถอะ ผู้ติดตามบิดากำลังต่อว่าเขา “ข้ามีหลายสิ่งต้องทำ โดยเฉพาะกลไกที่จะช่วยในการผลิตยาให้สำเร็จเร็วขึ้น ยาลืมสิ ท่านย่านิยมสมุนไพร และอยากให้ข้าช่วยในการผลิตยาเพื่อจะได้ทันต่อความต้องการของกองทัพ และสำหรับการค้า ที่จะสร้างกำไรมหาศาล”
“คุณชายสี่ช่างประเสริฐโดยแท้ ทว่ายามนี้แม่ทัพใหญ่ ต้องการพบท่านและเกรงว่า เรื่องที่เขาต้องการให้กระทำนั้น เร่งด่วนกว่าทุกสิ่ง”
“ช้าก่อน นอกจากข่าวน้องห้าตาย ยังมีสิ่งใดด่วนกว่านี้ อีกอย่างงานศพก็ไม่มีการจัด แล้วข้ายังได้ข่าวลับๆ ว่า เขาแต่งงานกับสตรีผู้หนึ่ง นางเป็นคนแซ่ซ่าง มิใช่หรือ แล้วยังไงต่อ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ มันดูเงียบพิกล”
ถึงเจี้ยนจงจะยุ่งเรื่องงานเพียงใด ทว่าสิ่งที่เกี่ยวพันต่อพี่น้องคนอื่น เขาต้องเปิดหูเปิดตาไว้ตลอด และสำหรับไคซี น้องชายคนที่ห้า อีกฝ่ายมาจากสกุลการค้า ถือว่าเป็นกำลังเสริมให้บิดามาโดยตลอด อีกทั้งสกุลซ่างฝ่ายเจ้าสาวมีหน้าตาในเมืองหลวง บิดาของสตรีแซ่ซ่างเป็นถึงเจ้ากรมโยธา เช่นนี้จึงนับว่าเรื่องใหญ่โตทีเดียว
และสิ่งที่เจี้ยนจงถาม หูซีเกอไม่ทันได้ตอบ ด้วยร่างสูงใหญ่ของตงเยี่ยหรงก้าวมาเสียก่อน และสั่งให้ลูกชายคนที่สี่ เข้าไปคุยเป็นการส่วนตัว
เจี้ยนจงยืนอยู่หน้าบิดา สีหน้าเหมือนเด็กชายที่ชอบความสนุกมากดว่าจะเป็นบุรุษที่เติบโตพร้อมออกเรือน เหตุนี้เขาจึงถูกตามตัวมาใช้งานเฉพาะกิจ ด้วยเจี้ยนจงไว้ใจได้ ทั้งมีไหวพริบการเอาตัวรอดสูง ที่สำคัญไม่มีเรื่องชู้สาวให้หนักใจ ยิ่งกว่านั้นสกุลเดิมของอีกฝ่ายไม่หนุนหลัง เขาเป็นเพียงคนหนุ่มที่ชอบเรื่องกลไก และวิชาแผนที่ รวมถึงการทำค่ายกลซับซ้อน เหตุนี้จึงเหมาะที่จะดูแลคนผู้นั้นให้แก่ตงเยี่ยหรง สตรีที่เขาตั้งใจส่งตัวไปยังเมืองหวางอิน
“เดินทางครั้งนี้ อย่างน้อยลูกต้องได้ทุนสำหรับศึกษา และทำของเล่นสักสองพันตำลึง เงินเพียงเท่านี้เล็กน้อยมากสำหรับบิดา แต่ตัวข้านั้น ใช้ก่อประโยชน์ได้อย่างใหญ่หลวง”
นี่คือเงื่อนไขที่เจี้ยนจงเสนอ เขารู้ว่าบิดาไม่ใช่คนงก แต่ไม่เคยให้เงินผู้อื่นโดยเปล่าประโยชน์
“เสี่ยวจาง เจ้าเก่งหลายด้าน หากไร้ฝีมือด้านการปกป้องตนเอง เจ้าเดินทางครั้งนี้ ข้ายังต้องให้องครักษ์คอยช่วยเหลือ เช่นนี้หนึ่งพันตำลึงเงิน ย่อมมากเกินไปแล้ว”
ได้ยินอย่างนั้นลูกชายคนที่สี่ของตงเยี่ยหรงจึงทำหน้ามุ่ย ด้วยไม่สบอารมณ์ เขาเป็นบุรุษ ขึ้นชื่อว่าอยู่ในสกุลของทหารกล้า ไฉนจะไร้ฝีมือจับดาบ ขี่ม้าเล่า แม้ด้อยกว่าผู้อื่น แต่ก็คงไม่ทำให้ตนเอง ต้องตายด้วยคมหอก คมดาบเป็นแน่
