บทที่ 7 กินเนื้อหงส์
“ลูกปกป้องตนเองได้”
“หึๆ ๆ แม้แต่ดาบส่วนตัว ป่านนี้ก็คงทู่ หรือไม่คงเป็นสนิม ข้าเห็นเจ้าจับมันครั้งสุดท้ายก็เมื่อเกือบสิบปีก่อน”
เจี้ยนจงได้แต่ยอมรับ ก่อนมองภาพวาดของสตรีนางนั้น ที่เขาได้รับมาจากบิดา แล้วเอ่ยถามว่า
“นางงามเพียงนี้ บิดา...ยังปล่อยให้ไปอยู่เรือนสตรีหม้ายอีกหรือ”
สิ่งที่เจี้ยนจงเอ่ย ส่งผลให้แม่ทัพใหญ่หงุดหงิด ก่อนระเบิดอารมณ์ร้ายๆ ออกมา
“นางเป็นหม้ายก็สมควร และจงจำไว้ ดูแลนางให้ดี จนกว่าข้าจะหาที่เหมาะสมให้นางอยู่ในภายหน้า”
“ปกติสตรีนางอื่นที่บิดาเรียกให้มารับใช้ พวกนางล้วนถูกขายออกไป ไม่ก็...ส่งคืนสกุลเดิม”
เจี้ยนจงยังไม่หยุดถาม ทั้งที่สีหน้าตงเยี่ยหรงหงุดหงิดหนัก
“นางเป็นคนแซ่ซ่าง... และข้า มีความสัมพันธ์ด้วย อีกอย่างเป่าเหลียน ผู้นั้นอาจเป็นคนทำให้น้องห้าเจ้าหายสาปสูญ จนป่านนี้ยังไม่พบศพ”
ได้ยินแบบนั้น เจี้ยนจงรีบยกมือปิดหู แต่ไฉนจะทันการ
ให้ตายเถอะ เขาตกที่นั่งลำบากแล้วจริงๆ ด้วยไม่สมควรรับรู้เรื่องสำคัญเช่นนี้ บิดาเป็นคนยึดถือการไม่แพร่งพรายความลับภายในสกุลตง ทว่าเขาดันมาได้ยินโดยไม่คาดฝัน
“เสี่ยวจางต้องดูแลนางให้ดี เป่าเหลียนคือน้องสะใภ้เจ้า และมันจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากนี้”
“เดี๋ยวก่อนนะบิดา นะ นางคือน้องสะใภ้ข้า แต่ปีนขึ้นเตียงท่าน เรื่องนี้ข้าไม่ได้หูฝาดใช่หรือไม่” คนช่างสงสัยซักถามอย่างลืมตัว และอีกอย่าง เขารู้จักนิสัยเจ้าห้า หรือไคซีดี ฝ่ายนั้น เถิดทูนความรัก ทว่าสตรีแซ่ซางผู้นี้ จู่ๆ ก็โผล่มาแต่งงานกับไคซี ซึ่งเขาไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้จักมาก่อนด้วยซ้ำ แล้วยังเป็นการแต่งเงียบๆ โดยที่ตงเยี่ยหรงไม่ให้ความยินยอม เรื่องทั้งหมดมันช่างน่าคิดโดยแท้
“น้องสะใภ้... นางคือสะใภ้ห้าสินะ เอ่อ ฮูหยินห้าน้อย เฮ้อ เรียกแบบนี้แล้ว ขัดๆ ปากพิกล”
เจี้ยนจงยังไม่หยุด นั่นเพราะเขาปากมากอยู่สักหน่อย กระทั่งเห็นว่าตงเยี่ยหรงแยกเขี้ยว เลยรีบเปลี่ยนคำถาม
“แล้วสกุลซ่าง บิดาจัดการเช่นไร”
“ร้อยห้าสิบแปดชีวิตถูกไต่ส่วนโดยละเอียด เจ้ากรมโยธาย่อมไม่พ้นผิด เขาถูกจับขังคุกมืด ผู้ชายทั้งหมดเนรเทศไปเหมือง สตรีที่มีความเกี่ยวข้องย่อมถูกขาย ส่วนผู้บริสุทธิ์ข้าให้ส่งไปทำงานเกษตร เพื่อเติมท้องพระคลังไม่ให้ว่างเปล่า บางส่วนปล่อยตัวเป็นอิสระ”
“เอ แล้วน้องสะใภ้ห้า นางก็แซ่ซ่าง เช่นนี้จะมีความผิดติดตัวหรือไม่”
ตงเยี่ยหรงหัวเราะหึๆ ๆ แล้วตอบว่า
“ข้าได้สืบมาอย่างแน่ชัดแล้ว เป่าเหลียน เป็นลูกสาวที่ติดท้องอนุผู้หนึ่งมา ตั้งแต่เกิดจึงถูกเลี้ยงดูที่เรือนนอก มีคนจัดฉากว่านางมีดาวหายนะ ไม่เสริมดวงฮูหยินคนใหม่ ถึงอย่างนั้นก็ถูกฝึกหลายด้านเพื่อใช้เป็นสตรีเพื่อแต่งเข้าเป็นสายลับในสกุลใหญ่ๆ และเจ้ากรมโยธา หมายมั่นให้นางมาที่สกุลตง โดยเป็นการวางแผนของฟ่านเทียนโหว”
เจี้ยนจงพยักหน้าตาม ฝ่ายฟ่านเทียวโหว สนับสนุนองค์ชายสี่ หลี่หว่านอี้ นั่นคือพวกตรงข้ามกับเยี่ยตงหรง ดังนั้นเขาเริ่มเข้าใจหลายสิ่งบ้างแล้ว เรื่องนี้น่าสนุกไม่แพ้กลไกล ที่เขาชอบประดิษฐ์
“ฟ่านเทียนโหว หลอกใช้เจ้ากรมโยธา และให้เป่าเหลียนแต่งงานกับน้องห้า เพื่อคอยสืบเรื่องต่างๆ แต่... ช้าก่อน เป่าเหลียนยังทำไม่สำเร็จ แล้วเหตุใดวิวาห์ครั้งนี้จึงจบไม่สวย น้องห้ากลายเป็นผี หาร่างไม่พบ ส่วนเป่าเหลียนก็เอ่อ... ถูกส่งตัวไปเรือนหม้ายที่ห่างไกล และบิดาให้เก็บเรื่องนี้ไว้อย่างเงียบที่สุด” ปลายประโยคเจี้ยนจงต่อเอง เขาย่อมรู้จักนิสัยบิดาดี
ตงเยี่ยหรงยิ้มอีกครั้ง และก็เอ่ยกับลูกชายคนที่สี่ว่า
“หนึ่งพันตำลึงที่ข้าจะมอบให้นั้น คงช่วยให้เสี่ยวจาง หาความจริงทั้งหมดให้กระจ่างได้อย่างรวดเร็วที่สุด”
ได้ยินบิดาบอก เจี้ยนจงก็ตบมือตบไม้ชอบใจ และกล่าวว่า “ลูกจะไม่ทำให้บิดาผิดหวัง... แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ค้างใจ เป่าเหลียนผู้นั้น บิดาจะให้ลูกเรียนนางว่า น้องสะใภ้จริงๆ หรือ มันไม่ถูกต้องสักเท่าใด อีกอย่างย่อมเป็นการเปิดเผยว่า นางคือภรรยาของน้องห้า ทั้งที่ตอนนี้เขาเป็นหรือตาย ก็ยังไม่แน่ชัด”
และคนที่กล้าเสี่ยงตายถามย้ำถึงสถานะซ่างเป่าเหลียน หวิดเกือบถูกตงเยี่ยหรงถีบยอดอกล้มหงายหลัง ซึ่งนับว่าเขารู้จังหวะเลยหลบหลีกได้อย่างทันท่วงที
พอวิ่งหนีแม่ทัพใหญ่มาได้สักพัก เจี้ยนจงก็พบกับหูซีเกอ ยามนั้นเขาหัวเราะเสียงดังมาก ด้วยเขาคือผู้กุมความลับบิดาไว้ได้ มันช่างน่าอภิรมย์โดยแท้ จากนั้นคุณชายสี่ก็เอ่ยว่า
“ซีเกอเอ๋ย....รู้หรือไม่ วาสนาน้องห้านั้น ทั้งชาตินี้ หรือชาติไหนๆ เขาก็ไม่อาจกินเนื้อหงส์ และภรรยาชื่อเป่าเหลียนนั้น แม้แต่ในฝันเขาก็ไม่อาจแตะต้อง เช่นนี้วิญญาณของมันจะสงบสุขได้เยี่ยงไร ฮ่าๆ ๆ”
หูซีเกออยากใช้ปิดปากเจี้ยนจงเหลือเกิน แต่เขาทำได้เพียงแต่ส่ายหน้า แม้เจี้ยนจงรอบรู้ หลายสิ่ง หากเรื่องที่เป็นปัญหาหนักสุด ก็คือปากของเขานั่นเอง
