บทที่ 9 หย่า 4
ยามนั้นนางล้วงเข้าไปอกเสื้อ ได้มีดสั้นเล่มหนึ่งมา ก่อนใช้มันจี้ที่ลำคอระหงของตน
“ถอยไป มิเช่นนั้น ข้าจะตายเป็นผีเฝ้าสถานที่แห่งนี้ และอย่าคิดว่า ใครจะรอดพ้นกฎหมายชิงซาน บิดาข้าไม่ยอมปล่อยพวกท่านแน่”
“ข่มขู่ข้าหรือ ฮ่าๆ ๆ บิดาแก่ๆ เจ้า หากได้รู้ว่า ลูกสาวพลีกายให้ชายอื่น ก่อนจะได้เข้าหอ ย่อมอับอายขายหน้า ที่สำคัญฉางหัวอี้ผู้นี้ เขาเป็นสหายร่วมเรียนข้า เมื่อครั้งอยู่ที่สำนักศึกษาเมืองทางใต้ และพวกเราไม่มีความลับต่อกัน”
ฟ่านจื่อรั่วติดกับดักเข้าแล้ว นางมองไปยังสาวใช้ ต้องการให้อีกฝ่ายส่งสัญญาณให้คนของบิดาเข้ามาช่วยเหลือ ขณะเดียวกันฟ่านจื่อรั่วก็ประเมินว่าผู้ชายทั้งสองคนนี้ มิได้เป็นวรยุทธ์ หากจะเหนือกว่านางก็เพียงแต่ร่างกายสูงใหญ่เท่านั้น
มือเรียวจับมือสั้นอย่างมั่นคง จากนั้นเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ร่างกายของฉางหัวอี้
ฝ่ายฉางหัวอี้ที่ถูกยากล่อมประสาทหวิดถูกแทงที่หน้าอก ส่วนหลี่เสิ่นหลัวได้แผลที่หลังฝ่ามือ
องค์ชายสามเดือดดาลจัด เขาอยากสั่งสอนนางให้เข็ดหลาบ ยามนั้นผู้ติดตามเขาจึงเผยตัวออกมา และหมายรวบตัวฟ่านจื่อรั่ว
ดวงตากลมโตเห็นภาพเหล่านั้นชัดเจน และขนหลังต้นคอลุกซู่ ฟ่านหรันซีเป็นห่วงลูกพี่ลูกน้อง แม้เหตุการณ์ในอดีตพลิกผลันไปอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แจ้งชัดว่านี่เป็นต้นเรื่องที่ทำให้นางต้องไปเป็นพระชายาของหลี่สิงหยางแทนอีกฝ่าย ด้วยต่อมาฟ่านจื่อรั่วกลายเป็นศพเปลือยลอยไปตามน้ำ ใบหน้าเสียโฉมจนแทบจะจดจำเค้าเดิมไม่ได้
กระทั่งไปติดอยู่กับด้านข้างอารามศิลาแดง คดีนางนี้ยังเกี่ยวโยงถึงฟ่านอันเฟิงพี่รองของหญิงสาวด้วย เมื่อฟ่านหรันซีเตรียมซัดอาวุธลับเม็ดทับทิมเงินช่วยฟ่านจื่อรั่ว ทว่ามือเรียวสวยไม่ทันได้กระทำในสิ่งที่ใจมุ่งหวัง ก็กลายเป็นว่ามีมืออุ่นๆ ที่ทั้งหนาและใหญ่ ของใครบางคนมารวบร่างนางไว้จากทางด้านหลัง
“โอ้ เด็กสามขวบ ตระกูลฟ่านซุกซนเสียจริง”
เขาพูดจบก็หมุนตัวนางไปเผชิญหน้ากัน ร่างกายหญิงสาวแข็งขืน สองแก้มแดงระเรื่อ นางไม่ได้ขัดเขิน หากกำลังโกรธจัดเลยทีเดียว
“น้องสาว เจ้าออกมาเล่นไกลเกินไปหรือไม่ หรือที่จวนไม่มีใครสั่งสอน!”
เขาไม่ว่าเปล่าหากบีบนิ้วมือนางที่กำเม็ดทับทิมเงินแรงขึ้น จนฟ่านหรันซีตาแดง และริมฝีปากเล็กๆ เบ้เบะ
“เจ็บก็ปล่อย และจะเจ็บกว่านี้ ถ้าครั้งหน้ามาแอบถ้ำมองผู้อื่น แล้วคิดทำเรื่องเหลวไหล โดยไม่รู้จักว่ามีอันตรายรออยู่”
“เจ็บ...ตะ แต่ ข้า จะช่วยพี่รั่วรั่ว!”
“เฮอะ นางรนหาที่ตายเอง ดูเหมือนสตรีแซ่ฟ่าน ชอบก่อเรื่อง ทั้งยังอ่อนด้อยการใช้ชีวิต”
ฟ่านหรันซีรังเกียจทั้งคำพูด การแสดงออกของหลี่สิงหยาง และไม่รู้เหตุใด นางได้ย้อนเวลามาเกิดใหม่อีกครั้ง แต่เขายังตามติดตอแยไม่เลิก หญิงสาวถลึงตาใส่อีกฝ่าย ปากอยากพ่นคำร้ายๆ ใส่เขา หากในยามนั้นที่ทำได้ ให้เหมาะสมกับสตรีเบาปัญญาอย่างที่เขาบอกก็คือ
“อื้อ... อ๊ะ... โอ๊ย... เจ้า…ปีศาจ”
ชั่วประเดี๋ยวเดียวที่นางจู่โจมเขาด้วยการกัดติ่งหูอีกฝ่าย และทำให้หลี่สิงหยางทั้งอึ้ง ทั้งฉงน เอาล่ะเขาเกือบเชื่อแล้วว่า นางเสียสติ
“หรันซี หยุด...”
เป็นโมงยามนั้นเองที่ทั้งเขาและนางต่างตกอยู่ในภวังค์
หรันซี เยี่ยงนั้นหรือ...
คำเรียกเช่นนี้ ทั้งการใช้น้ำเสียง มันบีบรัดหัวใจของฟ่านหรันซีเหลือเกิน
หลี่สิงหยางเรียกนางเช่นนั้น หัวใจเขาพลันกระตุกไหว และมากล้นด้วยความรู้สึกที่เขาไม่อาจอธิบายได้ทั้งหมด แรกที่ได้พบหน้านาง ฝ่ายเขากินไม่ได้นอนไม่หลับ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นได้เห็นรูปวาดมาก่อน หากแตกต่างจากตัวตนที่แท้จริงของฟ่านหรันซี
เมื่อหลายปีก่อน เขาฝันร้ายติดต่อกัน มองเห็นตนเองคุ้มคลั่ง ไล่ฆ่าทั้งศัตรู และผู้บริสุทธิ์มากมาย สาเหตุนอกจากถูกพิษร้ายที่อยู่ในร่างเล่นงาน
กำแพงสูง เสียงกรีดร้อง และชุดสีขาวของสตรีที่ชโลม
ด้วยเลือดทำให้เขาตระหนักได้หลายอย่างว่าจะมีเรื่องร้ายแรง
เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามมันยังไม่สายหากเขาจะยุติมัน
ในขณะที่ชายหนุ่มคิดว้าวุ่นใจ แรงมือเรียวเล็ก ก็ตบลงที่แก้มเขาถึงสองครั้งด้วยกัน
พอฟ่านหรันซีจะตบครั้งที่สาม นางก็เปลี่ยนใจ จึงใช้ผงพิษร้องไห้ที่ซ่อนเอาไว้เป่าใส่ดวงตาพยัคฆ์
“โอ๊ย ตาข้าบอดแน่”
“ดี ยอดเยี่ยม ปีศาจตาบอด เหมาะสมกับท่าน”
ด้วยสมองของร่างใหม่นี้กระทบกระเทือนหนัก จึงมีบางส่วนยังไม่ปกติ บางทีฟ่านหรันซีก็คิดว่าตนมีความเป็นเด็กน้อยหลงเหลืออยู่มากไปสักหน่อย การแก้เผ็ดเขาอย่างนี้ ไม่เหมาะสมนักแต่นางแอบสะใจ
