บทที่ 7 แม่ฉันคงเชื่อ

เวลา 23:10 น. หลังจากที่แขกที่มาร่วมงานเริ่มทยอยกลับจนเกือบหมดแล้ว นิลยาก็หันไปเอ่ยกับเด็กสาวที่มีสีหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด

“เอื้อง! กลับไปพักเถอะลูก พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมไปใส่บาตรให้พ่อนะ”

คนที่กำลังคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาระหว่างเธอกับบิดาในวัยเด็กราวกับว่ากลัวสิ่งเหล่านั้นจะจางหายไปจากความทรงจำ หันไปมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างขอความเห็นใจ เพราะเธอยังอยากอยู่ตรงนี้ไปอีกสักพัก

“เอ่อ...หนู...”

“ไปเถอะเอื้อง พรุ่งนี้คนในชุมชนของเราคงจะมาร่วมงานกันเยอะกว่าวันนี้” คงศักดิ์รีบเสริม

“ค่ะ” ช่อเอื้องขานรับเบาๆ อย่างเข้าใจในเหตุผล

“ไม่ต้องกลับไปที่บ้านนะเอื้อง เมื่อตอนบ่ายป้าเห็นเสี่ยวินัยมาด้อมๆ มองๆ รู้สึกไม่ไว้ใจยังไงก็ไม่รู้” นิลยาเตือนเรื่องสำคัญ

“แต่ว่า...” คนที่อยากจะกลับบ้านใจจะขาดพยายามจะเอ่ยท้วง หลังเห็นใครบางคนส่งยิ้มหวานมาให้

“เดี๋ยวผมจะพาเอื้องกลับไปพักที่บ้านครับ” แม่ทัพขันอาสา

“ครับ ฝากด้วยนะครับคุณทัพ” คงศักดิ์บอกพร้อมกับก้มหัวลงนิดๆ ขอบใจที่รู้ว่าอีกฝ่ายเมตตาเด็กสาว ส่วนเรื่องความสัมพันธ์นั้นตนคิดว่ามันคงจะเกินเลยไปไกลแล้ว แต่ที่สำคัญคือเจ้าของค่ายมวยดังยังคงยืนอยู่ข้างๆ เด็กสาว ตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่อง จนกระทั่งออกเงินให้จัดงานต่างๆ ให้ ทำเอาใครต่อใครต่างพากันชมไม่ขาดปาก

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลเอื้องอย่างดี” แม่ทัพรับปากผู้ใหญ่เสียงหนักแน่น ที่ทั้งสองไม่ขัดขวางการคบหาของตนกับช่อเอื้อง

“พรุ่งนี้เจอกันค่ะ” นิลยาดึงแขนของสามีให้เข้าไปนั่งในรถตู้คันใหญ่ที่ชายหนุ่มมาดโหด แต่ใจดี! ให้ลูกน้องขับรับส่งคนในชุมชนที่จะเดินทางมาร่วมงาน

แม่ทัพยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองก่อนจะหันไปเอ่ยกับคนที่ยืนเหม่ออยู่ข้างๆ “กลับบ้านเรากันเถอะเอื้อง”

“เอ่อ...หนู...” ช่อเอื้องกำลังจะปฏิเสธ แต่ก็ถูกอีกฝ่ายจูงแขนให้ออกเดินตามไปยังรถสปอร์ตที่ลูกน้องนำมาจอดต่อท้ายรถตู้คันใหญ่

“ขอล่ะเอื้อง เราอย่ามาทะเลาะหรือเถียงกันกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกเลย” แม่ทัพบอกด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้า

“ก็ได้ค่ะ” ช่อเอื้องรับคำก่อนจะเข้าไปนั่งในรถอย่างไม่มีทางเลือก

แม่ทัพส่ายหน้านิดๆ กับท่าทีของสาวเจ้า ก่อนจะหันไปคุยกับบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “ของที่ให้เตรียมเรียบร้อยหรือยัง?”

“เรียบร้อยแล้วครับบอส”

“โอเค แยกย้ายกันไปพักเถอะ ฉันจะกลับเพนต์เฮาส์” แม่ทัพบอกเสร็จ  ก็เดินอ้อมเข้าไปนั่งในรถ แล้วขับออกไปตามทางอย่างช้าๆ

ช่อเอื้องที่นั่งเงียบ เหลือบไปเห็นทางเข้าชุมชนที่อยู่มาตั้งแต่เด็ก พลัน! น้ำตาก็พานจะไหลออกมาเสียให้ได้ เพราะตั้งแต่ที่เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมากมาย เธอยังไม่มีโอกาสกลับไปที่บ้านของตัวเอง จึงรีบหันไปบอกคนข้างๆ “ขอบคุณนะคะสำหรับทุกอย่าง แต่คุณจอดรถให้หนูลงข้างหน้าเถอะค่ะ หนูอยากกลับไปนอนที่บ้านของพ่อ”

“โธ่เอื้อง! ป้านิลก็บอกอยู่ไม่ใช่เหรอ ว่ามีผู้ชายมาด้อมๆ มองๆ ที่หน้าบ้าน” แม่ทัพถอนหายใจอย่างรู้สึกเพลียๆ ที่สาวเจ้าเหมือนจะพูดรู้เรื่องได้เพียงครู่ แต่  อีกสิบนาทีต่อมา ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม

“หนูดูแลตัวเองได้ค่ะ” ช่อเอื้องบอกเสียงอ่อน แม้ว่าเธอจะซาบซึ้งใจที่เขาจัดงานศพของบิดาได้ดียอดเยี่ยม แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากจะมีเวลาคิดอะไรๆ ตาม  ลำพังบ้าง

“ฟังนะเอื้อง เรายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเคลียร์กัน ฉะนั้น...”

“ไม่อยากจะเชื่อว่าคุณจะยังพูดถึงเรื่องนั้นอีก” คนที่ได้ฟังคำตอบ เริ่มน้ำตาคลอหน่วยขึ้นมาทันใด ไม่คิดว่าเขายังจะให้เธอต้องรับผิดชอบเรื่องบ้าๆ นั่นอีก

“เฮ้! ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ” แม่ทัพรีบออกตัว ทั้งที่ตั้งใจจะใช้เหตุผลเก่ามาเป็นข้ออ้าง เพื่อดึงให้สาวเจ้าอยู่ต่อกับตน แต่พอเห็นสีหน้าท่าทีที่เริ่มจะไม่โอเค จึงต้องเบี่ยงเบนไปทางอื่น

“แล้วแบบไหนล่ะ คุณอยากให้หนูชดใช้อะไรอีก” คนที่สูญเสียบิดาไปอย่างกะทันหัน ไม่ทันได้ร่ำลาหรือดูใจ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ

“พรุ่งนี้แม่ของฉันจะเดินทางมาที่งาน” แม่ทัพบอกข้ออ้างใหม่

“ทะ...ท่านมาทำไมคะ?” คนที่กำลังจะร้องไห้ถึงกับสตั๊นไปชั่วขณะ

“อ้าว! พ่อของลูกสะใภ้เสีย ท่านก็ต้องมาสิถามได้” แม่ทัพกลอกตากับคำถามของสาวเจ้า

“แต่หนูไม่ใช่ภรรยาหรือคนรักของคุณ” เธอเถียงกลับอย่างไม่ยอมรับสถานะที่อีกฝ่ายพยายามจะยัดเยียดให้ ไหนจะเรื่องที่เขาไปยกมือไหว้สาบงสาบานที่หน้าโลงศพพ่อของเธออีก

“หึ! เธอจะปฏิเสธยังไงก็ได้ แต่อย่าลืมว่าเธอคือคนที่ไปนอนแก้ผ้าอยู่บนเตียงของฉัน แล้วทำให้แม่ฉันเข้าใจผิด” แม่ทัพตอกกลับด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจะตึงขึ้นมานิดๆ

“ที่ท่านเข้าใจผิดเป็นเพราะคุณบอกท่านว่าหนูเป็นเมียคุณต่างหาก” ช่อเอื้องเถียงกลับทันใด

“ก็แล้วเธอจะให้ฉันบอกแม่ว่ายังไงล่ะ อ๋อ! เธอเป็นสาวที่ผมหิ้วมาจากไนต์คลับเมื่อคืน แบบนี้เหรอ?” คนที่แถจนสีข้างถลอกบอกด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“ก็แล้วทำไมคุณไม่บอกไปตรงๆ ล่ะคะว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแค่เรื่องโจ๊กที่เพื่อนของคุณแกล้งเล่นเท่านั้น” เธอถามย้อนอย่างไม่เข้าใจ เพราะคิดว่าเขาควรจะแก้ตัวตั้งแต่แรก ไม่ใช่เนียนไหลตามน้ำ แล้วโยนว่าเป็นความผิดของเธอ

“แม่ฉันคงเชื่อ” แม่ทัพกลอกตาอย่างรู้สึกเซ็งๆ ที่สาวเจ้าไม่ยอมอ่อนให้เหมือนก่อนหน้า แถมยังเถียงกลับทุกคำจนเขาแทบจะคิดหาข้ออ้างไม่ทัน

“งั้นขอเบอร์โทรท่านได้ไหมคะ เดี๋ยวหนูจะโทรไปอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟังเอง” ช่อเอื้องบอกอย่างทนไม่ไหว นอกเหนือจากการแสดงความเสียใจของแขกที่มาในงานแล้ว คำถามที่เธอไม่อยากจะตอบเลยคือ...ผู้ชายคนนั้นเป็นใครเหรอหนูเอื้อง?

“บ้า! มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก”

“แล้วคุณจะให้หนูทำยังไง”

“เธอก็แสดงเป็นเมียของฉันต่อไปสิ” แม่ทัพชี้ทางสว่างให้สาวซื่อที่ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นโชคดีขนาดไหนที่ได้ตนเป็นผัว

“อะไรนะ” ช่อเอื้องถามอย่างไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง

“เธอได้ยินไม่ผิดหรอก ฉันจะจ้างเธอเดือนละห้าหมื่น เสร็จจากงานของพ่อเธอแล้ว ค่อยให้คำตอบฉันก็ได้ แต่ระหว่างนี้เราต้องแกล้งเป็นคนรักกัน เพราะแม่ของฉันท่านจะมาร่วมไว้อาลัยที่งานศพทุกคืน” แม่ทัพยื่นข้อเสนอที่คิดว่าสาวเจ้าจะไม่มีทางปฏิเสธ

“...” ช่อเอื้องถึงกับนิ่งเงียบไปทันใด เพราะค่าจ้างห้าหมื่นบาทต่อเดือนนั้นไม่ใช่เงินน้อยๆ หากเธอแกล้งเป็นคนรักของเขาสักสองเดือน เธอก็จะมีเงินไปเรียนต่อมหา’ลัยได้อย่างไม่ขัดสน

“เรื่องงานศพของพ่อเธอไม่ต้องห่วง ฉันจะดูแลทุกอย่างให้เอง” แม่ทัพรีบเสริม

“คุณจะไม่ทำแบบนั้นกับหนูอีกใช่ไหมคะ?” คนที่เงินก็อยากได้ แต่ขณะเดียวกันก็ยังผวากับการกระทำของอีกฝ่ายที่หักหาญน้ำใจเธอเมื่อตอนเช้า

“...” แม่ทัพเจอคำถามซื่อๆ เข้าไป ก็ถึงกับใบ้แดกไปชั่วขณะ

“ตอบมาสิคะ” ช่อเอื้องถามขึ้นอีกครั้งอย่างต้องการความมั่นใจ

“โอเค! ฉันจะไม่ทำอีก” แม่ทัพกัดฟันตอบ เพราะไม่อยากให้สาวเจ้าไปอยู่  ที่อื่น

“ขอบคุณค่ะ” ช่อเอื้องฉีกยิ้มออกมาอย่างรู้สึกมีความหวังที่จะได้เข้าเรียนในระดับมหา’ลัย

“เธอมีแฟนหรือยัง” แม่ทัพหันไปถามอย่างรู้สึกหงุดหงิดนิดๆ ที่สาวเจ้ายินดีจะรับข้อเสนอ แต่ไม่ยอมให้ล่วงเกิน

“ยังค่ะ หนูยังเด็ก ไม่พร้อมจะคิดเรื่องนี้” ช่อเอื้องตอบไปตรงๆ

‘หึ! หัดคิดเอาไว้สักหน่อยก็ดีนะเอื้อง’ แม่ทัพต่อว่าในใจก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปจอดในคอนโดหรูที่ตนพักอยู่

บทก่อนหน้า
บทถัดไป