บทที่ 9 เป็นคนรักของน้องเอื้องครับ
เช้าวันต่อมา...
“เอื้อง! เอื้อง!” คนที่ตื่นเช้ามาเข้าครัวทำอาหารเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี เดินเข้าไปสะกิดเรียกสาวที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงเบาๆ
“อื้อ...กะ...กี่โมงแล้วคะ?” ช่อเอื้องลืมตาขึ้นมองอย่างรู้สึกมึนๆ
“หกโมงสิบนาทีแล้ว รีบไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันเร็ว เดี๋ยวลงไปใส่บาตรด้วยกัน อ้อ! ฉันทำแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากรายเสร็จแล้วนะ”
“ทะ...ทำไมไม่ปลุกหนูให้ไปช่วยล่ะคะ” ช่อเอื้องกะพริบตา มองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะตื่นเช้ามาทำเมนูโปรดของบิดาให้
“ฉันอยากให้เธอนอนพักให้เต็มที่น่ะ” แม่ทัพบอกยิ้มๆ
“ขอบคุณนะคะ สำหรับทุกอย่าง” ช่อเอื้องเอ่ยอย่างซึ้งใจ
“ฉันยินดีทำให้ เธอรีบไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวสายนะ” แม่ทัพเอ่ยเตือน ก่อนจะออกจากห้องไปใช้ห้องน้ำในห้องข้างๆ
“ค่ะ” ช่อเอื้องอมยิ้มก่อนจะขยับลุกจากเตียง แล้วไปจัดการตัวเองตามที่ อีกฝ่ายบอก
ครึ่งชั่วโมงต่อมา...หลังจากที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ แม่ทัพก็รีบพาช่อเอื้องลงไปใส่บาตรที่ด้านหน้าคอนโด โดยให้บอดี้การ์ดนิมนต์พระที่เดินผ่านมารอ พอใส่บาตรและกรวดน้ำเสร็จก็พากันกลับขึ้นห้องพัก
“เราทานข้าวกันก่อนนะ” แม่ทัพเอ่ยชวนยิ้มๆ
“ค่ะ” ช่อเอื้องพยักหน้ารับ แล้วเดินตามพ่อเทพบุตรสุดหล่อเข้าไปในครัวที่เธอเพิ่งจะเห็นเป็นครั้งแรก ไม่คิดว่ามันจะกว้างและมีเครื่องครัวที่ทันสมัย วางเรียงอยู่อย่างครบครัน
“โอเค! เอื้องช่วยตักแกงเขียวหวานใส่ชามกับตักข้าวใส่จานให้หน่อยสิ เดี๋ยวฉันจะทำไข่เจียวเพิ่ม” แม่ทัพหันไปบอกคนที่เดินตามหลังมาเงียบๆ
“ได้ค่ะ” ช่อเอื้องยิ้มรับ ก่อนจะเดินไปหยิบชาม แล้วเดินตรงไปยังหม้อ ที่ตั้งอยู่บนเตา เปิดฝาออกก็ได้กลิ่นหอมๆ ของแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากรายที่หน้าตาน่าทานมากๆ
“ไม่รู้ว่าฉันปรุงพอดีหรือเปล่า ลองตักชิมดู เผื่อเธอต้องการใส่อะไรลงไปเพิ่มอีก”
“ค่ะ” ช่อเอื้องหยิบทัพพีที่วางอยู่ในชามใกล้ๆ มาตักแกงในหม้อแล้วเทลงในช้อนคันเล็กชิมรสชาติของฝีมือที่พ่อครัวหน้าโหดเป็นคนทำ
“เป็นไง?” แม่ทัพถามอย่างรอลุ้น
“อร่อยค่ะ” ช่อเอื้องบอกอย่างรู้สึกทึ่ง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีรสมือดีขนาดนี้
“จริงเหรอ?” แม่ทัพเลิกคิ้วถามอย่างดีใจที่สาวเจ้าชม
“จริงสิคะ” ช่อเอื้องตอบก่อนจะตักแกงเขียวหวานใส่ลงในชามใบใหญ่ แล้วยกไปวางที่โต๊ะทานอาหาร จากนั้นก็เดินกลับมาตักข้าวสวยร้อนๆ ใส่ในจานต่อ
แม่ทัพหยิบกระทะมาวางบนเตาแก๊ส แล้วเทน้ำมันลงไปพอให้เคลือบกระทะ ตามด้วยกระเทียมสับ พอกระเทียมเหลืองได้ที่ก็เทไข่ที่ตอกใส่ชามเอาไว้6 ฟองลงไป
ช่อเอื้องที่ยกข้าวไปวางบนโต๊ะเสร็จ ก็เดินมาดูพ่อครัวสุดหล่อทำไข่เจียวต่ออย่างสนใจ
แม่ทัพใช้ตะหลิวไม้ตีไข่ในกระทะให้เข้ากัน แล้วใส่เครื่องปรุงที่เตรียมเอาไว้ลงไป จากนั้นก็เดินไปหยิบเนื้อปูนึ่งที่แกะแล้ว ที่แช่อยู่ในตู้เย็นขนาดใหญ่ มาใส่ในลงกระทะ คนเบาๆ ให้ทุกอย่างเข้ากัน
“ว้าว! นี่ใช่ไข่เจียวจริงๆ เหรอคะ”
“มันดูไม่เหมือนหรือไง?”
“เหมือนค่ะ แต่คงจะเป็นไข่เจียวที่ราคาแพงมาก”
“แล้วเธอชอบหรือเปล่า?”
“ชอบค่ะ แต่แบบนี้หนูไม่เคยกินมาก่อน ปกติที่หนูทำขายจะใส่แค่ แคร์รอต ต้นหอม ปูอัด ไส้กรอก หมูสับ หอมหัวใหญ่ มะเขือเทศ...”
“เดี๋ยวนะ! เธอทำไข่เจียวขายอย่างงั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ หนูทำขายอยู่ใกล้ๆ กับร้านสะดวกซื้อ”
“พระเจ้า!” แม่ทัพกดปิดเตา แล้วดึงสาวเจ้าเข้ามากอดอย่างรู้สึกแน่นไปทั้งหน้าอก
“ทะ...ทำไมเหรอคะ” ช่อเอื้องถามอย่างมึนงง
แม่ทัพไม่ตอบแต่จับมือบางทั้งสองของสาวเจ้าขึ้นมาแล้วกดจูบลงบนนิ้วที่เรียวงามราวกับลูกคุณหนู ทั้งผิวพรรณ และหน้าตาที่สวยสะดุดใจ เขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะเติบโตมาจากสลัม แถมยังต้องต่อสู้และดิ้นรนหาเงินมาเลี้ยงดูพ่อที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ตามลำพัง
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” ช่อเอื้องถามอย่างทำตัวไม่ถูก ที่อยู่ๆ อีกฝ่ายก็ทำตัวแปลกๆ ทั้งที่กำลังเจียวไข่อยู่
“เปล่า แค่อยากกอดเธอเท่านั้น” แม่ทัพคลายอ้อมแขนออกแล้ว ตักไข่เจียวใส่ลงจานใบใหญ่ จากนั้นก็รีบเดินไปยังโต๊ะอาหารที่อยู่ใกล้ๆ แก้เขิน
“นี่ค่ะ” ช่อเอื้องหันไปหยิบช้อนกับส้อม แล้วส่งให้กับอีกฝ่ายก่อนจะเดินอ้อมไปนั่งที่ฝั่งตรงข้าม
“ขอบคุณครับ” แม่ทัพรีบตักไข่เจียวใส่เนื้อปูวางลงในจานของสาวเจ้าอย่างเอาใจ
“ขอบคุณค่ะ” ช่อเอื้องยิ้มก่อนจะหยิบช้อนกลาง ตักแกงเขียวหวานที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนลงในจานข้าวของตัวเอง แล้วตักขึ้นมาทานพร้อมกับไข่เจียวที่มีเนื้อปูเป็นก้อนๆ
“เป็นไงบ้าง?” แม่ทัพถามยิ้มๆ
“เป็นไข่เจียวและแกงเขียวหวานที่อร่อยที่สุดเลยค่ะ” ช่อเอื้องบอกพร้อมกับยกนิ้วให้พ่อครัวสุดหล่อ
“อร่อยก็ทานเยอะๆ นะ” แม่ทัพบอกก่อนจะตักกับข้าวขึ้นมาทานอย่างอารมณ์ดี ที่เห็นสาวเจ้าสดใสขึ้นกว่าเมื่อวาน
“ค่ะ” ช่อเอื้องยิ้มก่อนจะก้มหน้าก้มตาทานต่อ เพราะรู้สึกเขินกับสายตาหวานเยิ้มของพ่อครัวหน้าโหดที่ขยันส่งมาให้ทุกๆ สิบวินาที
สองชั่วโมงต่อมา...แม่ทัพพาช่อเอื้องเดินทางไปยังศาลาที่ตั้งบำเพ็ญศพของบิดา ทันทีที่จอดรถเสร็จก็รีบหันไปเอ่ยกับสาวเจ้า หลังเห็นรถตู้ของมารดาแล่นเข้ามาจอดข้างๆ
“แม่ฉันมาพอดี! ท่านเป็นโรคหัวใจ ไม่สามารถรับเรื่องที่สะเทือนความรู้สึกได้ เธออย่า...”
“ค่ะ หนูจะไม่พูดว่าคุณให้หนูเล่นละครหลอกท่าน” ช่อเอื้องบอกอย่างเข้าใจในความหมาย
“...” แม่ทัพได้ฟังคำตอบที่แสนซื่อก็ถึงกับสตั๊นไปชั่วขณะ พอตั้งสติได้ก็รีบพาสาวเจ้าลงจากรถ แล้วเดินไปหามารดาของตนที่กำลังก้าวออกมาจากรถตู้
“สวัสดีครับแม่” แม่ทัพเอ่ยทักทายมารดาด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“สวัสดีค่ะ” ช่อเอื้องยกมือไหว้อย่างรู้สึกเขินอายที่ต้องเล่นบทคนรักของพ่อเทพบุตรสุดเถื่อน
“เอื้อง...แม่เสียใจด้วยนะลูก” มาลีนบอกพร้อมกับดึงเด็กสาวเข้ามากอดปลอบอย่างรู้สึกสงสารและตื้อไปทั้งหัวใจ ที่ยังไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับครอบครัวของว่าที่ลูกสะใภ้อย่างเป็นทางการ บิดาของอีกฝ่ายก็มาด่วนจากไปเสียก่อน
“ขอบคุณค่ะ” ช่อเอื้องรู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“หนูเอื้อง ฉันเสียใจด้วยนะ” วินัย เสี่ยใหญ่วัย 57 ปี รูปร่างสูงท้วมนิดๆ เอ่ยแสดงความเสียใจกับเด็กสาวที่ตนหมายตามาได้สองปี
ทันทีที่ทราบข่าวว่าบิดาของอีกฝ่ายเสีย เขาก็ตั้งใจจะยื่นข้อเสนอส่งเสียเลี้ยงดูให้เป็นบ้านเล็ก แต่พอมาถึงงานก็ต้องตกใจที่เห็นเด็กสาวก้าวลงมาจากรถหรูพร้อมกับชายหนุ่มที่หน้าตาดีและรูปร่างดูภูมิฐานซะจน...เห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิดหัวใจสุดๆ
“ขอบคุณค่ะคุณวินัย เชิญด้านในค่ะ” ช่อเอื้องยกมือไหว้เจ้าของบ้านเช่าขในชุมชนที่เธออยู่อย่างซึ้งใจ ที่อีกฝ่ายมาร่วมงานศพของบิดา
แม่ทัพยืนจ้องมองเสี่ยใหญ่ที่ทราบจากคงศักดิ์มาว่า...อีกฝ่ายเคยเข้าไปทาบทามและยื่นข้อเสนอเรื่องขอเลี้ยงดูช่อเอื้องตั้งแต่ตอนที่บิดาของสาวเจ้าป่วยเป็นอัมพฤกษ์
“แล้วนี่ใครเหรอหนูเอื้อง?” วินัยหน้าตึงขึ้นมานิดๆ เมื่อเห็นสายตาที่ชายหนุ่มมองมายังตน
“ผมแม่ทัพ อินธิรากรณ์ เป็นคนรักของน้องเอื้องครับ” แม่ทัพเอ่ยแนะนำตัว
“ไม่จริง! ก่อนหน้านี้ทำไมผมถึงไม่เห็นคุณมาก่อน” วินัยใจหายวูบ! ตั้งใจจะมาเล่นบทพระเอกปลอบใจนางเอกที่สูญเสียบิดา แต่พอมาถึงกลับมีคนแย่งบทนั้นไปเล่นก่อนแล้ว
“ก่อนหน้าไม่เห็น...แต่ตอนนี้ก็เห็นแล้วนี่ครับ” แม่ทัพบอกพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปากขึ้นนิดๆ อย่างรู้สึกสมเพชชายรุ่นพ่อที่คิดจะฟาดเด็กสาวเอ๊าะๆ
“เอ่อ...เสี่ยครับไปนั่งฟังพระสวดทางนั้นดีกว่าครับ” คงศักดิ์รีบเข้ามาเชิญ ก่อนจะเกิดมวยข้ามรุ่นขึ้นในงานศพ
