บทที่ 5 เมียนิตินัย (50%)
“ส่งหลานมาสิ”
ความใกล้ชิดแบบไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้อ้อนรักทำอะไรไม่ถูก หัวใจดวงน้อยเต้นโครมคราม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้เป็นสามีเอ่ยอะไรออกมาบ้าง มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คนหน้าไม่อายช้อนฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าใต้รักแร้ของเธอ แล้วยกร่างเพรียวระหงให้ยืนขึ้น ก่อนจะอ้าแขนรับหลานสาวที่โผเข้าหา
“อ้าว…มัวยืนบื้ออยู่ทำไมล่ะ ไปเตรียมข้าวเช้าให้คนดีสิ กินข้าวแล้วจะได้กินยา หรือว่าอยากนั่งตักผัวเหมือนหลาน” วาจาเรียบๆ ในตอนท้ายทำให้แก้มเนียนใสขึ้นสีระเรื่อ
“คนบ้า! ฉันเปล่าเสียหน่อย” แม่คนขี้อายค้อนน้อยๆ
ก่อนจะหันไปเอ่ยขอตัวกับคุณหมอหนุ่ม โดยไม่ลืมที่จะชักชวนให้อีกฝ่ายมาทานข้าวเย็นด้วย เพื่อเป็นการตอบแทนที่เขาอุตส่าห์สละเวลามาตรวจอาการของหลานสาวถึงไร่ คราแรกนั้นปรเมศตั้งใจจะเอ่ยปฏิเสธ ทว่าพอเห็นสายตาดุกร้าวของเซซาเรเขากลับเลิกคิ้วท้าทาย แล้วตอบตกลงอย่างหน้าตาเฉย
ครั้นอ้อนรักเตรียมอาหารเช้าให้หลานเสร็จปรเมศก็กลับไปเสียแล้ว เธอป้อนข้าวให้เด็กอ้วนช่างกินขณะเงี่ยหูฟังบทสนทนาของสามีกับเพชรพริ้งที่นั่งอยู่ตรงชานเรือน เสียงหัวร่อต่อกระซิกทำให้สาวหวานปวดแปลบในอกอย่างมิอาจห้ามได้ ทว่ากลับต้องข่มใจและเตือนสติตัวเองว่าเธอไม่มีสิทธิ์ไปหึงหวงใดๆ ทั้งสิ้น
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จอ้อนรักก็เปิดการ์ตูนให้หลานดู ไม่นานแม่หนูน้อยก็เริ่มเบื่อและรบเร้าขอไปขี่ม้า แต่เธอต้องทำใจแข็งเพราะแดดค่อนข้างแรง เกรงว่าอีกฝ่ายจะไข้ขึ้น ก่อนจะหาสมุดภาพระบายสีมาให้เด็กอ้วนได้ฝึกสมาธิไปในตัว จากนั้นสองป้าหลานก็ช่วยกันระบายสีภาพในสมุดที่มีรูปตัวการ์ตูนเจ้ามินเนี่ยนทำท่ากวนๆ เสียงหัวเราะของสองสาวต่างวัยดังแว่วออกมาเป็นระยะ ทำให้คนที่นั่งคุยกับแขกสาวคลี่ยิ้มบางๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเผลอเบนสายตาไปยังเมียและหลานที่นั่งห่างออกไป มองเพลินจนลืมแม่ม่ายสาวพราวเสน่ห์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ไปเสียสนิท และนั่นก็ทำให้เพชรพริ้งถึงกับหงุดหงิด หากแต่จำต้องกัดฟันระงับอารมณ์เอาไว้
“เซตคะ” น้ำเสียงหวานหยดเอ่ยเป็นเชิงเรียกร้องความสนใจ
“เอ่อ…คุณว่าไงนะพริ้ง โทษทีผมเป็นห่วงหลาน เพราะเมื่อคืนแกไม่สบาย ก็เลยมองนานไปหน่อย” เซซาเรหลุดออกจากภวังค์ ก่อนจะหันมาเอ่ยกับอีกฝ่ายอย่างสุภาพ
คำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นของอภิมหาเศรษฐีหนุ่มที่หล่อนหมายปองทำให้แม่ม่ายสาวผู้ไม่เคยโดนชายใดปฏิเสธลอบกำหมัดแน่น เมื่อกี้ดูก็รู้ว่าเขามองเมียตัวเอง ไหนว่าไม่รักไม่ต้องการแม่นั่นไง แล้วทำไมต้องทำท่าหึงหวง และแอบมองประหนึ่งไม่อยากให้คลาดสายตาแบบนั้นด้วย
ครั้นเล่นจนเหนื่อยอัปสรสวรรค์ก็ร้องหานม และอ้อนให้คนเป็นป้าเล่านิทานให้ฟัง ฟังนิทานพร้อมกับดูดนมจากขวดลายเจ้าการ์ตูนตัวเหลืองจอมป่วนได้ไม่นานเด็กอ้วนช่างจ้อก็ผล็อยหลับไป ส่วนคนที่อุทิศตักให้หลานนอนหนุนก็หาวหวอดๆ เพราะเพลียจากการเฝ้าไข้อีกฝ่ายเมื่อคืน ไม่นานก็เผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
เซซาเรขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเสียงพูดคุยหยอกล้อเคล้าเสียงหัวเราะคิกคักของสองสาวเงียบลง เหลือแต่เสียงโทรทัศน์ที่เปิดคลอเบาๆ เขาหยุดคุยกับคนที่อ้างว่าจะมาขอคำปรึกษาเรื่องธุรกิจเสียดื้อๆ ก่อนจะเบนสายคมกริบไปยังโถงเรือน แล้วก็ต้องหลุดยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าอ้อนรักกำลังนั่งหลับคอพับคออ่อน
“ผมขอตัวแป๊บนึงนะพริ้ง”
กล่าวจบเซซาเรก็ผุดลุกขึ้น แล้วก้าวจากไปโดยไม่สนใจว่าแม่ม่ายสาวจะทำหน้ายังไง ทันทีที่ไปถึงโซฟาชุดรับแขกเขาก็ก้มลงกระซิบปลุกเมีย ครั้นเห็นว่าแม่คนขี้เซาทำเสียงอืออาขับไล่คล้ายรำคาญก็หลุดขำออกมา ก่อนจะขยับไปอุ้มร่างอ้วนจ้ำม่ำของหลานสาวไปยังห้องนอนของตัวเอง ห่มผ้าให้เด็กอ้วนแล้วจุ๊บเหม่งหนึ่งที เซซาเรก็เดินออกมาหาอ้อนรักที่ยังคงนั่งสัปหงกอยู่ที่เดิม
“อ้อนรัก…”
“ฮื้อ…” ลมหายใจผ่าวระอุที่เป่าราดรดพวงแก้มเนียนใสทำให้คนหลับนึกรำคาญ ทำเสียงงึมงำคล้ายข่มขู่ในลำคอ ขณะผลักใบหน้าหล่อลากไส้ออกห่าง ทำเอาพ่อตัวโตอมยิ้มน้อยๆ
“ตื่นได้แล้วยัยเด็กขี้เซา”
“อือ…คนดีขา ป้าอ้อนของีบแป๊บนึงนะคะ” คนเพลียจัดเบี่ยงหน้าหนีจากการรุกรานของปลายจมูกคมสัน แล้วเอ่ยต่อรองอู้อี้ทั้งที่ยังไม่ลืมตา
“คนดีที่ไหน นี่ผัวต่างหากล่ะ”
“อ้อนรัก…”
“ฮื้อ…”
“สรุปจะไม่ตื่นใช่ไหม งั้นอุ้มนะ”
คราวนี้เซซาเรจงใจกระซิบชนิดปากแทบจะแนบไปกับกึ่งซีกแก้มกึ่งใบหูน้อย มองเผินๆ เหมือนเขากำลังหยอกเย้าเมียมากกว่าที่จะปลุกอย่างจริงจัง
ภาพตรงหน้าทำให้เพชรพริ้งแทบจะกรี๊ดลั่นด้วยความคับข้องใจ เพราะยัยหน้าจืดนั่นดันปลุกไม่ตื่น สุดท้ายเขาก็ต้องอุ้มร่างอ้อนแอ้นเดินไปยังห้องนอน
หลังจากวางแม่คนขี้เซาลงบนเตียงข้างๆ หลานตัวน้อย เซซาเรก็ยืนกอดอกมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนจะจับปอยผมที่ตกละใบหน้าเนียนใสทัดใบหูให้ แล้วก็ต้องหายใจสะดุดเมื่อคนที่ได้ชื่อว่าเมียขยับเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองนอนในท่าสบาย ส่งผลให้กลิ่นกายหอมยวนใจลอยมาปะทะจมูก กายหนุ่มร้อนรุ่มอย่างน่าโมโห
ทันใดนั้นคนโอหังที่มักจะประกาศปาวๆ ว่ารังเกียจและไม่ต้องการเมียตัวเองก็หลุดการควบคุม พ่อเจ้าประคุณเคลื่อนใบหน้าหล่อเหลาติดจะดิบเถื่อนลงไปหา…
อ้อนรักรู้สึกตัวในเวลาเกือบพลบค่ำ เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้เธอนอนเตลิด ครั้นลืมตาขึ้นมองเพดานก็ปรากฏว่านี่ไม่ใช่ห้องนอนของตน ควานมือไปข้างๆ ด้วยคิดว่าหลานสาวน่าจะนอนอยู่กลับว่างเปล่า เดาว่าหลังจากตื่นมาอีกฝ่ายคงจะออกไปอ้อนขอของกินจากผู้ใหญ่ที่อยู่ด้านนอก เพราะเด็กอ้วนมักจะตื่นมาพร้อมกับความหิวเป็นประจำ ครั้นเหลือบดูนาฬิกาเรือนงามที่แขวนอยู่ตรงผนังก็จวนจะถึงเวลาอาหารเย็น เธอจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องนอนของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี พอมาถึงห้องของตัวเองก็ตรงดิ่งเข้าไปชำระร่างกายในห้องน้ำ
อ้อนรักรีบอาบน้ำเพราะตั้งใจจะออกไปช่วยจัดโต๊ะอาหาร ทว่าในวินาทีที่นัยน์ตาหวานได้เห็นปากตัวเองในกระจกก็ถึงกับตะลึงงัน ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น
“เอ๊ะ!...ทำไมปากเราถึงได้บวมเจ่อขนาดนี้นะ หรือว่ามันไม่ใช่ความฝัน…”
เจ้าของเสียงหวานละมุนพึมพำกับตัวเองเบาๆ ด้วยความฉงน ขณะยกมือขึ้นลูบไล้กลีบปากบวมเจ่อแดงช้ำ ส่วนสมองน้อยๆ นั้นก็เริ่มคิดทบทวน
